หลังจากนำศพลงไปฝังแล้วจะต้องให้คนที่มาร่วมงานออกจากป่าช้าให้หมด เหลือไว้เฉพาะหมอพิธีกรรมซึ่งจะต้องทำการลาป่าช้า พิธีลาป่าช้าจะมีขั้นตอนคล้ายกับการเปิดป่าช้า กล่าวคือ หมอพิธีกรรมจะตั้งเครื่องเซ่นไหว้ประกอบด้วย หมากพลู ยาเส้น บุหรี่ (ในที่นี้หมายถึงใบจากที่ใช้มวนยาเส้น) และเหล้าขาว จากนั้นหมอพิธีกรรมจุดธูปเทียนเพื่อบอกกล่าวเจ้าป่าช้า (เจ้าเปลว) และดวงวิญญาณอื่นๆในป่าช้า แล้วจึงจุดประทัดส่งท้าย เป็นการสื่อสารต่อดวงวิญญาณเหล่านั้นว่าไม่ต้องตามมา
หลังจากฝังศพเสร็จสิ้น ทุกคนที่ก้าวออกจากป่าช้าห้ามหันหลังกลับมามองเป็นอันขาด เพราะเชื่อว่าจะดึงดูดให้วิญญาณคนตายตามมาในชุมชนซึ่งเป็นเขตแดนของคนเป็น และคนที่ธาตุอ่อนอาจจะถูกวิญญาณเข้าสิง การออกจากป่าช้าหลังจากพิธีฝังศพเสร็จสิ้นถือว่าเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่มีอันตราย การลาป่าช้าจึงเป็นช่วงเวลาที่หมอไสยศาสตร์และผู้เรียนอาคมในสมัยก่อนใช้ลองวิชากัน กล่าวคือ หากต้องการลองวิชาของหมอพิธีกรรมประจำหมู่บ้านใดหมู่บ้านหนึ่ง ผู้ที่ต้องการลองวิชาก็จะวางไสยศาสตร์มนต์ดำไว้ในช่วงที่คนออกจากป่าช้าหลังการฝังศพเสร็จสิ้น ไสยศาสตร์จะเล่นงานคนที่กำลังผ่านเขตแดนระหว่างคนเป็นและคนตายนี้ ทำให้เกิดการทดสอบว่าหมอพิธีกรรมประจำหมู่บ้านจะหาทางแก้ไสยศาสตร์นี้ได้หรือไม่
เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว ครอบครัวของผู้ตายจะวางถาดขี้เถ้าไว้ที่หน้าบ้านเป็นเวลาสามวัน จากนั้นจะออกมาดูว่าปรากฏรอยอะไรในถาดหรือไม่ หากในถาดปรากฏรอยเท้าแมว แสดงว่าวิญญาณของผู้ตายยังวนเวียนอยู่ในร่างแมว เนื่องจากระยะ 49 วันหลังจากการฝังศพเป็นช่วงที่เชื่อกันว่าวิญญาณผู้ตายยังคงรออยู่ในโลกมนุษย์ก่อนที่จะเดินทางไปยังปรโลก หรือหากในถาดปรากฏรอยเท้านก ก็แสดงว่าวิญญาณของผู้ตายยังคงอยู่ในรูปของนก ช่วงนั้นก็จะมีการห้ามไม่ให้คนในครอบครัวของผู้ตายทำอันตรายนกหรือแมว