เทคนิคทางภูมิศาสตร์เพื่อการศึกษาพหุลักษณ์ทางวัฒนธรรมและการพัฒนาการท่องเที่ยว: กรณีศึกษาพื้นที่ต่อเนื่อง อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี และ อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี
Geographical Techniques for the Study of Cultural Diversity and Tourism Development: The Case of Amphoe Dan Chang, Suphan Buri and Amphoe Ban Rai, Uthai Thani
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ศิริวิไล ธีระโรจนารัตน์
Assistant Professor Sirivilai Teerarojanarat, Ph.D.
ภาควิชาภูมิศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์
Department of Geography, Faculty of Arts
แต่ละแห่งแหล่งที่ล้วนมีเอกลักษณ์และความโดดเด่นเฉพาะตัว ตามสภาพภูมิศาสตร์ อ. ด่านช้าง จ. สุพรรณบุรี และ อ. บ้านไร่ จ. อุทัยธานี มีสภาพภูมิประเทศที่มีความต่อเนื่องกัน คือ เป็นแนวทิวเขายาวในแนวเหนือใต้ และมีความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า เป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศวิทยา พื้นที่ในด้านตะวันตกของ อ. บ้านไร่ จัดเป็นส่วนหนึ่งของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร-ห้วยขาแข้งซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็น "มรดกโลกทางธรรมชาติ" และในพื้นที่นี้ยังเป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติพุเตย ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 2 จังหวัด คือ ป่าองค์พระ ป่าเขาพุระกำ และป่าเขาห้วยพลู ในเขต อ. ด่านช้าง จ. สุพรรณบุรี และวนอุทยานถ้ำเขาวง ในเขต อ.บ้านไร่ จ. อุทัยธานี ทำให้พื้นที่นี้มีแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติที่น่าสนใจและเป็นที่นิยมอยู่หลายแห่ง อาทิเช่น เขาถ้ำตะพาบ ถ้ำเขาวง เขาพุหวาย น้ำตกตะเพินคี่ น้ำตกพุกระทิง เป็นต้น ในเขตอุทยานแห่งชาติพุเตย ยังมีการพบป่าสนสองใบ ซึ่งถือว่าเป็นทรัพยากรป่าไม้ที่มีความสำคัญ เนื่องจากโดยปกติแล้วป่าสนสองใบจะเจริญเติบโตในพื้นที่ภูเขาสูงชันที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,000 เมตรขึ้นไป แต่ป่าสนนี้เจริญเติบโตบนพื้นที่ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลเพียง 763 เมตรเท่านั้น ป่าสนสองใบแห่งนี้จึงเป็นป่าสนสองใบตามธรรมชาติแห่งเดียวของภาคกลาง จึงมีความน่าสนใจอย่างยิ่งทั้งในเชิงการท่องเที่ยวและการจัดให้เป็นแหล่งเรียนรู้ทางธรรมชาติในเขตพื้นที่ภาคกลาง
นอกจากนี้ ในอดีตพื้นที่นี้มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอันยาวนาน มีรายงานการพบหลักฐานทางโบราณคดีที่ย้อนไปได้ถึงยุคหินใหม่ที่ อ. ด่านช้าง และพบเมืองโบราณบ้านการุ้งซึ่งเป็นแหล่งชุมชนโบราณที่มีอายุมากกว่า 1,000 ปี ที่ อ.บ้านไร่ อีกทั้งในพื้นที่นี้ยังเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของกลุ่มคนหลากหลายชาติพันธุ์ ได้แก่ กะเหรี่ยง ขมุ ละว้า นอกเหนือจากคนไทยพื้นราบ ก่อให้เกิดความหลากหลายทางภาษา วิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่มีความโดดเด่น ซึ่งควรคู่แก่การศึกษา รวบรวมหลักฐาน และอนุรักษ์ไว้
อย่างไรก็ดี ความสะดวกในการคมนาคมและการติดต่อสื่อสารในปัจจุบัน มีแนวโน้มทำให้การเข้าถึงพื้นที่ทำได้ง่ายขึ้น และอาจส่งผลให้ความเป็นลักษณะเฉพาะของพื้นที่ทั้งทางด้านกายภาพ ภาษา วิถีชีวิต สังคม ประเพณีและวัฒนธรรม เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะเพื่อให้สอดรับกับความเจริญที่จะมาถึงในเรื่องการท่องเที่ยว จึงทำให้เกิดความคิดจัดทำโครงการนี้ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์หลัก 2 ประการ คือ (1) เพื่อศึกษา รวบรวมและวิเคราะห์ ข้อมูลในมิติต่างๆทางพื้นที่ ได้แก่ ลักษณะทางกายภาพและนิเวศวิทยาในพื้นที่ ภาษาและความใกล้ชิดชุมชน ความหลากหลายของวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ รวมถึงร่องรอยประวัติศาสตร์ในอดีต อันเป็นการปลูกจิตสำนึกให้คนในพื้นที่ตระหนัก รู้สึกหวงแหน และร่วมอนุรักษ์ความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตนไว้ และ (2) เพื่อใช้ข้อมูลที่ได้ศึกษามาในมิติต่าง ๆ ข้างต้น มาวิเคราะห์กำหนดคุณค่าของพื้นที่และแนวทางในการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างสมดุล คือ เน้นการอนุรักษ์ทรัพยากร ควบคู่ไปกับการนำเอาแนวคิดด้านการตลาดเข้ามาประยุกต์ใช้ สร้างรายได้ให้กับชุมชนให้สามารถพึ่งพาตัวเองได้อย่างมีศักดิ์ศรี สร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ดีให้กับนักท่องเที่ยว และช่วยลดผลกระทบในด้านลบที่จะพึงเกิดแก่แหล่งท่องเที่ยว
การดำเนินโครงการมีจุดเด่นสองข้อหลักคือ (1) การศึกษาพหุลักษณ์ทางภาษา วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ และการวิเคราะห์แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยว จะใช้การบูรณาการความรู้จากคนต่างศาสตร์ หรือต่างแขนงในศาสตร์เดียวกัน ได้แก่ ภาษาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ (เนื้อหาและเทคนิค) พาณิชยศาสตร์ (นักวิชาการด้านท่องเที่ยว/การตลาด) เพื่อมาทำงานและประสานงานร่วมกันบนพื้นที่อย่างแท้จริง (2) เน้นการนำเอาเทคนิคทางภูมิศาสตร์ โดยเฉพาะ ระบบกำหนดตำแหน่งบนพื้นโลก (Global Position System หรือ GPS) และระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System หรือ GIS) มาใช้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บและวิเคราะห์งานและประสานการบูรณาการข้อมูลจากต่างศาสตร์เข้าด้วยกันบนแผนที่ โดย GPS จะถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงพื้นที่ การเก็บจุดการสำรวจข้อมูลในการออกภาคสนาม และใช้ประกอบการสร้างแผนที่ ในขณะที่ GIS จะถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บฐานข้อมูล วิเคราะห์และแสดงผลข้อมูลเชิงพื้นที่ รวมถึงการผลิตแผนที่ผลลัพธ์
Each geographical area has its own unique distinctiveness. The geography of Amphoe Dan Chang, Suphan Buri and Amphoe Ban Rai, Uthai Thani is marked by a long mountain range from north to south with fertile forest and is considered to be an area of biological diversity and ecosystems. The west of Amphoe Ban Rai is a part of the Thungyai Naresuan Wildlife Sanctuary with the adjoining Huai Kha Khaeng Wildlife Sanctuary. It has been declared "a World Heritage Site" by the United Nations. In addition, it is also the area where Phu Toei National Park is located. Inside the park's boundaries are the Ong Phra Forest, the Khao Phu Rakam Forest, and the Khao Huai Phlu Forest of Amphoe Dan Chang, Suphan Buri Province as well as the Tham Khao Wong Forest Park of Amphoe Ban Rai, Uthai Thani. Well-known natural tourist attractions are, for example, the Khao Tham Taphap cave, the Khao Wong cave, the Khao Phu Wai, the Taphoen Khi waterfall and the Phu Krathing waterfall. The Pinus Merkusii, the tropical mountain pine, is also found in this area at an altitude of 763 metres above sea level, although the species normally grows in mountainous areas with a height of more than 1,000 metres above sea level. It is the only natural pine forest in the central part of Thailand and is considered as very interesting both from the aspect of tourism and natural resources for learning.
According to archaeological evidence, the area of Amphoe Dan Chang can be traced back as far as the Neolithic Age. The ancient local community called the Ban Ka Rung is also found in Amphoe Ban Rai with a history of more than 1,000 years. It is a place where a variety of racial groups, namely, the Karen, the Khmu, and the Lawa as well as the Thais have resided. This has caused a diversity of distinctive languages, ways of life and cultures, which are worth studying, gathering evidence about and preserving.
Efficient communication and transportation have currently made access to the area easier. As a result, the unique identities of the area such as its physical features, languages, ways of life, society, traditions and culture may be changed. Responding to the dynamic growth in tourism, this project has been initiated with the following aims:
The 2 significant keys of the project are mainly: