สังคมอักษรศาสตร์

กลับหน้าหลักสังคมอักษรศาสตร์

ข้อเขียนของ สมพล ชัยสิริโรจน์
จากกลุ่ม "รวมพลคนอักษร"

ผม สมพล ชัยสิริโรจน์ อ.บ. 44
ผมกำลังเขียนใคร่ครวญชีวิต ในช่วงหัวเลึ้ยวหัวต่อ ช่วงเข้าเรียนที่คณะอักษรฯ
ต่อเนื่องจนเริ่มทำงานอาชีพ ประมาณ 3 - 4 ตอน
เดิมผมตั้งใจจะแชร์สนุก ๆ ให้พี่น้องในห้องนี้ได้อ่านกัน ก็พอดีทราบข่าวว่าจะปิดกลุ่มแล้ว ก็รีบเอามาลง
มีตัวเลขกำกับตามโครงสร้างใน. Workshop ดูรุงรังยังไม่ได้เอาออก กลัวไม่ทัน ... ขออนุญาตลงตอนแรกไปก่อน มีสี่ตอน วันละตอนปิดกลุ่มพอดี

# พี่อู๊ดสมพล
28/01/2021

ย้อนไปสำรวจตัวตน#1

“คุณไม่มีวันเป็นใคร?”…

1. หากย้อนกลับไปในวัยเริ่มเป็นหนุ่มเมื่อเกือบครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา ผมไม่เคยคิดฝันว่า ตนเองจะเป็นใคร โดยเฉพาะเป็นนักแสดงละครเวที

อย่างดีในวัยนั้น ได้เล่นการแสดงรอบกองไฟเวลาออกค่ายก็เก่งแล้ว ได้กล่าวนำกิจกรรมกลุ่ม ขาก็สั่น ใจก็หวั่นไหว ยิ่งมีสายตาสาว ๆ คอยดูอยู่ก็รู้สึกเขินอายหนักหนานัก

ความหวั่นไหวที่ว่า ไม่เคยจากลาจางหายไปเลย โดยเฉพาะเมื่อก้าวขึ้นเวทีการแสดง ไม่ว่าจะสวมบทบาทเป็นตัวเอก ตัวร้าย หรือตัวประกอบใดใดก็ตาม

เป็นคนขี้อายจนไม่อยากอยู่ในสายตาใคร แต่กลายมาเป็นนักแสดง(จำเป็น)ได้อย่างไร?



2. ผมก้าวเข้ามาเป็นนิสิตใหม่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยในวัย ๑๙ ปี ไม่ได้คาดหวังจะต้องเป็น “ใคร” ในคณะนี้ ขอเป็นเพียงบัณฑิตจบไปในอีกสี่ปีถัดไป จบไปจะทำมาหากินอย่างไร ยังไม่อยู่ในใจเลย

ตั้งใจอยู่เพียงประการเดียวคือ จะเรียนเอกวิชาปรัชญาเท่านั้น เพราะไม่มีมหาวิทยาลัยอื่นสอนวิชานี้ในวันนั้น

วันนั้นวาดภาพตนเองว่า ใช้เวลาส่วนใหญ่ในห้องสมุด อ่านหนังสือที่อ่านค้างไว้ตั้งแต่มัธยม และคงได้อ่านหนังสือใหม่ที่ครูมอบหมาย และค้นคว้าประเด็นลึก ๆ ในชีวิต ที่เคยอุทิศตนค้นคว้ามาก่อนหน้านั้น

ภาพที่ว่านั้น ไม่ได้มีภาพที่จะต้องสังสรรค์สัมพันธ์กับใครมากมายนัก เพราะเหนื่อยจากการทำกิจกรรมในโรงเรียนตั้งแต่สมัยมัธยมมาอย่างหนักมากแล้ว

ชีวิตก็เกือบเป็นไปตามภาพที่วาดไว้ ตัดสินใจพลาดที่รับปากไปเป็นหัวหน้าชั้นปี ซึ่งพาตนเองออกจากภาพที่วางไว้ แต่ก็ปลอบใจว่าเป็นกิจกรรมสาธารณกุศล ถ้า “กูไม่สน” เลยจะเป็นคนไร้น้ำใจดูไม่ดี แต่ให้เป็นหัวหน้าดูแลใคร ๆ นั้น ไม่ใช่ “กู” เลย

จนวันหนึ่งตรงกลางห้องโถงของตึกเรียนที่เรียกกันว่า ตึกสาม สุภาพสตรีในแว่นกันแดดสีดำรับกับผมดำสนิทของท่านก้าวเข้ามาตัดหน้าผม แล้วถามว่า “นี่เธอ ตัวสูงใหญ่อย่างนี้ ทำตัวเป็นคนแก่ ๆ ได้ไหม?”

ผมไม่มีโอกาสตอบท่านเลยเท่าที่จำได้ แต่ยืนนิ่งฟังราวกับโดนเวทมนตร์ ท่านบอกว่า ท่านกำลังทำละครเวที อีกไม่นานจะออกแสดง นักแสดงชายจากอีกคณะหนึ่งซึ่งท่านเลือกไว้ ถอนตัวจากการซ้อมกระทันหัน

ผมไม่ได้ยินว่า ท่านถามผมว่า สนใจไหม เสียด้วยซ้ำ ท่านบอกให้ตามท่านไป จะให้ลองอ่านบท แล้วผมก็จำว่าเดินตามท่านต้อย ๆ ไปยังห้องพักอาจารย์ของภาควิชาศิลปะการละคร ที่อยู่ถัดห้องโถงนั้นไป

ผมไม่เคยคิดฝันเลยว่า ก้าว ๆ นั้น จะเป็นก้าวที่พลิกชีวิตจากเดิมที่วาดไว้ และชีวิตที่มีมาก่อนหน้านั้นให้ต่างไปอย่างพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินก็ว่าได้

ผมร่วมแสดงละครเรื่องนั้น แล้วติดใจรสชาติของการขึ้นไปยืนอยู่บนเวทีอย่างที่เป็นตัวละคร ไม่ใช่ตัวผมเสียทีเดียว ติดใจความมีน้ำจิตน้ำใจของพี่เพื่อนที่ร่วมงาน

ยิ่งกว่านั้น ผมเกิดแรงบันดาลใจที่ทะเยอทะยานจะเป็นครูบาอาจารย์อย่างที่สุภาพสตรีที่ผมได้พบในห้องโถงกลางวันนั้น ท่านคือ อาจารย์สดใส พันธุมโกมล ผู้ก่อตั้งและเป็นหัวหน้าภาควิชาศิลปะการละครในวันนั้น

เจ็ดปีเต็มหลังจากวันนั้นที่ผมเดินหน้าทำทุกอย่าง ให้ทุกอย่าง เวลา พลัง ทรัพยากร แม้นแต่ครอบครัวเพื่อการละคร เรียนทั้งในห้องนอกห้องจนดั้นด้นไปเรียนเมืองนอกทั้งที่ไม่ควรจะไป จนจบกลับมาเมื่ออาจารย์สดใส

เรียกมาช่วยงานโรงเรียนการแสดงของไทยทีวีสีช่องสาม ที่ท่านและคณะได้ร่วมบุกเบิก ก่อนจะลาออกมาเป็นคนทำงานธุรกิจในที่สุดจนถึงทุกวันนี้



3. นั้นเป็นเรื่องราวที่ผมเคยเล่าครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความภาคภูมิใจ และยังรู้สึกเช่นนั้นอยู่ไม่เสื่อมคลาย

วันนี้ผมไม่ได้ขึ้นเวทีละครแสดงอีกแล้ว ทุกอย่างในฐานะนักแสดงเป็นเพียงภาพฝันและความทรงจำ

แต่ผมกลับหวนคิดถึง เจ้าเด็กขี้อายคนนั้น ที่คงแทบจะหวั่นไหวจนอยากแทรกแผ่นดินหนีทุกครั้งที่ผม หรือนักแสดงในตัวของผมขึ้นเวที

ในวันเวลาที่ที่ผมเล่นบทบาทเป็นนักแสดงต่อหน้าผู้คน เจ้าเด็กขี้อายคงอยู่ไม่เป็นสุข เขาคงตระหนักดีว่า บนเวทีไม่มีที่ และ “ไม่มีวันที่เขาจะได้มีที่ทางเลย” หาไม่ผมจะก้าวย่างอย่างนักแสดงบนเวทีไม่ได้เลย

เขาคงจำต้องหลีกทางไปอยู่ห่างในวันนั้นที่ผมต้องอยู่ในสายตาของสาธารณะในทั้งบทบาทนักแสดง และนักอะไรก็ตามอีกสารพัด

วันนี้ผมรู้สึกได้ถึงสายตาละห้อยของเขาที่กำลังมองผมเดินตามสุภาพสตรีท่านนั้นไปอย่างแทบจะไม่เคยหันหลังมาเห็นเขา เขาที่ยืนจับมืออยู่กับนักเรียนปรัชญาอีกคนในตัวผมที่อยากเดินไปอีกทางของห้องโถง แล้วนั่งลงอย่างสงบกับหนังสือเล่มโปรดในห้องสมุด

วันนั้นที่ห้องโถง ผมเดินเลี้ยวซ้ายไปอีกทางโดยไม่หันมองขวา หรือจะพูดให้ถูกเดินกลับหลังหันให้ความตั้งใจอย่างไม่เหลียวหลัง เดินเข้าหา “คนที่ฉันไม่มีวันเป็น” จนไม่เห็น “คนที่ฉันกำลังเป็น หรือ เคยเป็น”

แล้วเด็กขี้อายคนนั้นที่อยากอยู่อย่างเงียบ ๆ ในมุมห้อง ก็ยังมีชีวิตอยู่ในวันนี้

วันที่ผมได้นั่งดีดพิมพ์ตัวหนังสือเหล่านี้อยู่ตรงหน้า หายใจเอาไอเย็นจากลมที่พัดอ่อน ๆ มาให้ย้อนระลึกและตระหนักถึง “คนที่ผมไม่มีวันเป็น” แต่เป็นคนที่เป็นอยู่กับผมในทุกวัน

อ่านแล้วชอบ
บอกผมด้วย
กดไลค์เลิฟ
อ่านแล้วเลิฟ
กดแชร์ใหัคนรัก

#พี่อู๊ดสมพล #ประสบกร #สำรวจตัวตน
#นักเขียนพันธุ์X P1: บทความทั่วไป กับ DAY… #1/21

ย้อนไปสำรวจตัวตน#2

เมื่อเรียนจบอักษรฯ

อู๊ดสมพล ชัยสิริโรจน์
อ.บ.44
29/01/2021

"Passion without Compassion?"

1. เมื่อเรียนจบผมดิ้นรนจนเรียกได้ว่า กระเสือกกระสนจะไปเรียนต่อเมืองนอกให้ได้ ทั้งที่ไม่มีใครในบ้านเต็มใจสนับสนุน

ผมร่อนใบสมัครไปยังหลายมหาวิทยาลัยในอเมริกา ไปยังทั้งสาขาปรัชญาที่เรียนจบเป็นวิชาเอก และยังสาขาการละครที่แม้นเรียนเป็นวิชาโท แต่ใช้เวลาใช้พลังไปกับงานละครยิ่งกว่าเรื่องใดใดตลอดสามปีสุดท้ายในรั้วมหาวิทยาลัย

ไม่มีที่ไหนตอบรับให้ชื่นใจ มีแต่ต้องลุ้นระทึกไปวันต่อวัน

จนวันหนึ่งผมทนไม่ได้ที่จะนั่งรอชะตากรรม ก็ลุกขึ้นมาลิขิตชีวิตตนเองต่อ โดยโทรไปหาหัวหน้าภาควิชาการละครที่มหาวิทยาลัยโอไฮโอที่ส่งใบสมัครทิ้งไว้

การโทรทางไกลสมัยเมื่อสี่สิบปีก่อนเป็นเรื่องใหญ่เรื่องแพง แต่เย็นวันนั้นจำได้ว่าเป็นวันศุกร์ อดรนทนไม่ได้ก็ลุกขึ้นมาโทร สาธยายถึงความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะเรียนละครเพื่อย้อนมาสอนมาสร้างสรรค์การละครในประเทศด้อยพัฒนา หัวหน้าภาคตกปากรับคำ จะส่งไอ 20 เอกสารเพื่อทำวีซ่านักเรียนมาให้ในทันที

ถ้าศุกร์นั้น ผมไม่โทรหา หัวหน้าภาคละครที่โน้น ผมคงไม่ได้ไปเพราะวันจันทร์ถัดมา จดหมายปฏิเสธไม่รับเข้าเรียนจาก ดร.ซีเบอร์รี่ ควิน ก็มาถึงบ้าน พร้อมข้อความว่า "คะแนนสอบภาษาอักฤษแค่นี้ อย่าว่าแต่เรียนละครเลย จะทาสีตอกตะปูทำฉากก็ยังยาก"

หรือ นี่คือชะตากรรม

อย่างไรก็ตาม เมื่อหัวหน้าภาครับเข้าเรียนแล้ว ผมก็ดีใจแต่หนักใจตามมาแทบพร้อมกัน

จะเอาเงินที่ไหนไปเรียน ไปเป็นค่าเครื่องบิน ค่ากินค่าอยู่ที่เมืองนอก ?

ครอบครัวผมในวันนั้นมีพอกินพอใช้ ไม่ร่ำรวยจับจ่ายใช้สอยตามใจชอบ แต่ไม่ขัดสนข้นแค้นใดใด กำลังอยู่สบาย ๆ ผมไม่เฉลียวใจสักนิดว่ากำลังสร้างภาระให้พวกเขา แลกกับอิสระที่จะทำตามใจปรารถนา หรือสมัยนี้จะเรียกว่า ตาม passion จนอาจจะขาด compassion ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่ต้องเข้าไปสำรวจ

ครอบครัวไม่อยากให้ไปเมืองนอกทั้งสิ้นเปลือง และจะไปเรียนเต้นกินรำกินจะกลับมาหากินอะไรได้ แต่ในที่สุดก็ยอม พวกเขาคงเบื่อและไม่อยากต้านความดื้อด้านจะเอาให้ได้ของลูกชายคนเล็กคนเดียวในบ้าน

แต่รักแท้ย่อมมีเงื่อนไข พี่สาวคนโตยื่นคำขาด โดยผมเชื่อว่ามีเสียงของพี่เขยเป็นเด็ดขาดสนับสนุนให้ไปเรียนเมืองนอกด้วยตั๋วเครื่องบินขาเดียว ไม่มีตั๋วขากลับ พร้อมค่าใช้จ่ายไม่เกินหนึ่งปี ที่เหลือต้องส่งเสียตัวเองจนเรียนจบ

แล้ว Passion without Compassion ของผมก็เริงร่า เริ่มขับเคลื่อนชีวิตให้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล



2. เมื่องบมีจำกัด ก็ต้องเรียนให้จบก่อนในเวลาอันสั้น นั้นเป็นกลยุทธที่หนึ่ง แล้วรีบหารายได้จากงานที่ไม่ผิดกฎหมายเข้าเมืองให้ได้โดยด่วนและมากพอนั้นเป็นกลยุทธที่สอง

ไม่เคยเป็นนักกลยุทธก็ได้เป็นในครั้งนี้

ความจริงที่ต้องเผชิญคือ ผลทดสอบภาษาอังกฤษครั้งแรกไม่ผ่าน ต้องลงเรียนภาษาหนึ่งเทอมเต็ม นั้นหมายความว่า หมดเงินหมดเวลาไปโดยไม่ได้เรียนวิชาอื่นใดไปหนึ่งเทอม เช้าวันที่รู้ผลสอบที่ว่านั้น ฟ้าเหลืองมืดหม่นจนอนธการ

รุ่งขึ้นไปสอบเพื่อจัดลำดับขั้นชั้นเข้าเรียน จะด้วยหายเจ็ทแล็กหรือเซ็งจนปล่อยวางก็ตาม ผลสอบครั้งนี้ดีมาก จนเจ้าหน้าที่บอกไม่ต้องเรียนภาษาแล้ว เข้าเรียนวิชาภาคปกติได้ทันที ดีใจสุด ๆ

ขณะที่เวลาผ่านไป เงินในมืองบในใจเริ่มร่อยหรอไปทีละวัน ผมเดินหน้าขอทุนเรียนฟรี อาจารย์ที่ปรึกษาชื่อ ซีเบอร์รี่ ควินน์ด่ากลับมาว่า “ไงตอนสมัครมา ยูลงชื่อว่า รับรองมีเงินเรียนจนจบ” ผมตอบแบบหน้าด้าน ๆ ว่า “ตอนนั้นมี แต่ตอนมาถึงที่นี้ไม่มีแล้ว”

ด้วยความกรุณาเพราะเห็นผมเป็นเด็กต่างชาติหนึ่งในสามคนของภาควิชา อีกคนเป็นครูละครจากนอร์เวย์ อีกคนโดนเนรเทศจากอาฟริกาใต้เพราะต่อต้านการเหยียดผิวในยุคนั้น อีกคนเป็นคนไทยที่เนรเทศตนเอง ดร ซีเบอร์รี่ ควินน์ อาจารย์ที่ปรึกษาหาทุนให้ผมเรียนฟรีในปีแรก และหาทุนให้ผมมีรายได้ประจำจากการช่วยสอนช่วยสร้างละครที่ภาคจนผมเรียนจบ

ผมสมัครงานทำในมหาวิทยาลัย ไม่ได้งานในห้องสมุดที่ใครใครก็ใฝ่ฝัน แต่ก็ทำงานในโรงอาหารจากเสิร์ฟแซนวิชมื้อกลางวัน เพิ่มเป็นมาดูดฝุ่นก่อนมื้อเช้าในหน้าหนาว แล้วมาช่วยวิ่งเติมอาหารในมื้อเย็น รายได้ในช่วงเทอมนั้นไม่ได้ร่ำรวย แต่เหลือพอที่จะใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข มีเงินเก็บพอจะบินโลว์คอสท์ไปดูละครที่นิวยอร์คได้ทุกพักระหว่างภาคเรียน โดยอาศัยนอนตามบ้านลูกพี่ลูกน้อง

เมื่อหนึ่งปีผ่านไป พี่สาวพี่เขยทำตามสัญญา เดินทางมาหาพร้อมกับยื่นซองเงินซองสุดท้ายห้าร้อยเหรียญให้ แต่ก็กรุณาพาผมไปนิวยอร์คด้วยกัน ให้ผมได้ค้นคว้าละครต่อต้านสงครามเวียดนาม ที่กำลังกำกับอยู่ พร้อมกับได้ดูแลเจ้าหลานสาวคนโตขณะที่พ่อแม่เขาไปทำงาน

เมื่อผมเรียนจบ ผมได้งานที่โรงละครในเวอร์จิเนีย เป็นอีกโอกาสที่จะเริ่มงานอาชีพตามฝัน ผมหันหลังให้งานนั้น แล้วตั้งใจจะช่วยพี่สาวคนรองกับพี่เขยตั้งร้านอาหารในอีกรัฐหนึ่ง

แล้วผมก็หันหลังให้พวกเขาอีกครั้ง เดินทางกลับเมืองไทยเมื่ออาจารย์สดใส เรียกตัวกลับมาช่วยงานโรงเรียนการแสดง มาตามเก็บความใฝ่ฝันที่สูงสุดในวันนั้นที่จะได้ทำงานกับครูบาอาจารย์ที่รักและเคารพ ทั้งอาจารย์บรูซ แกสตัน อาจารย์คณิต คุณาวุฒิ

ผมขึ้นเครื่องกลับบ้านโดยมีเงินสดติดตัวกลับมาห้าร้อยเหรียญ



3. ผมมองช่วงเวลาที่เล่ามาด้วยความภาคภูมิใจด้วยใจหนึ่ง และผมรู้สึกถึงความเศร้าคลุกเคล้ามาอีกใจหนึ่ง ที่ไม่เคยเปิดโอกาสถามตนเองว่า จำเป็นต้องเดินทางครั้งนั้นหรือไม่?

ไม่ใช่ความเสียดายเสียใจที่ไม่มีวันแก้ไขคืน แต่เป็นคำถามที่ตามมากับลมหนาวในเช้านี้ หนาวเดียวกับเมื่อสี่สิบปีที่ออกเดินทางในครั้งนั้น

คำถามที่ตามมามิใช่ว่า ได้สูญเสียอะไร หรือเสียใครไปบ้างเพื่อแลกกับความสำเร็จที่ทำตามฝัน ตาม Passion ตามความกระเสือกกระสนดิ้นรน

แต่คำถามว่า ตนเองได้ถามตนเองครอบคลุมทุกด้านหรือยัง ในวันที่ตัดสินใจกำหนดชะตาตน

ในวันที่อยากออกเดินทางอย่างไม่มีใครจะทัดทาน วันนั้น ได้ยินเสียงที่คัดค้านจากส่วนลึกของหัวใจตนเองหรือไม่ ?

เป็นที่แน่นอนว่า ย้อนอดีตกลับไปเลือกใหม่ไม่ได้ แต่เป็นที่แน่นอนอีกเช่นกันว่า การตัดสินใจใหม่ ๆ และสำคัญในปัจจุบันให้เลือกเส้นทางใหม่ ๆ ในชีวิตกำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า

ไม่ว่าจะเป็นทางเลือกที่ปรารถนาหรือไม่ ได้เห็นทางเลือกที่ตรงกันข้ามกับทางเลือกที่คิดจะเลือกไหม ?

ผมพบว่า หากผมจะเลือกด้วย Passion อันทรงพลังให้ตนเองเช่นในครั้งนั้นอีก ผมอาจจะต้องฟังเสียงแห่ง Compassion ให้ดังชัด ทั้ง Compassion เพื่อคนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้ง Compassion เพื่อตนเองอย่างเสมอกัน

อ่านแล้วชอบหรือไม่
ทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ
#พี่อู๊ดสมพล ณ #ประสบกร #สำรวจตัวตน
#ธีม“If you are on your own, do not disown other.”
#นักเขียนพันธุ์X P1: บทความทั่วไป กับ DAY… #2/21
#passionwithoutcompassion

สำรวจตัวตน#3

ผมนำบันทึก สำรวจตัวตน#3
มาโพสต์ลงไว้ ณ ที่นี้ เพื่ออำลา
กลุ่มนี้ที่จะปิดลงไป ในวันพรุ่งนี้
#พี่อู๊ดสมพล อ.บ. ๔๔
๓๐ มกราคม ๒๕๖๔

"มองข้ามอะไร อะไรนั้นจะข้ามกลับมาหา"

1. ผมกุมเงินสดห้าร้อยเหรียญบินกลับจากอเมริกาเมื่อเรียนปริญญาโทการละครจบ มีเงินสดติดตัวมาเท่านั้น

จะเป็นธนบัตรใบเดียวกันกับที่พี่สาวคนโตให้ไว้หรือเปล่าคงไม่ใช่ แต่อาจจะเป็นหนึ่งในหลายใบที่พี่สาวคนเล็กที่มีครอบครัวอยู่ที่นั่นให้ไว้ เธอคอยสนับสนุนผมอยู่เบื้องหลังยามเงินขาดมือ

คนที่ดีใจที่สุดที่ผมกลับมาน่าจะเป็นคุณแม่ เธอต่อว่าผมวันที่เก็บของก่อนเดินทางว่า “ทำไมต้องไปด้วย ?” นั่นนะซิ แม่ ผมก็ไม่เข้าใจตนเองเหมือนกัน ในวันนั้น หากผมจะตอบท่านในวันนี้

ที่ต่างไปคือ เราสองคนแม่ลูกมาอยู่ในบ้านของพี่เขยพี่สาว เราไม่ได้กลับไปบ้านของเราเอง ที่ถูกขายทอดตลาดไปแล้ว นั่นเป็นอีกเรื่องที่ผมไม่ได้เตรียมใจไว้ แต่ก็ยอมรับได้เพราะทุกคนคือครอบครัวที่เห็นกันมาแต่เล็ก

ผมไม่มีคำถามในวันนั้นว่า จะเริ่มต้นชีวิต ตั้งเนื้อตั้งตัวอย่างไร ผมมีเพียงความฝันเดียวที่นำผมกลับมาคือ ทำงานกับอาจารย์สดใส ครูของผม ที่โรงเรียนการแสดงของทีวีช่องสาม

เมื่อคำถามสำคัญในยามนั้นถูกผมมองข้าม อะไรที่ถูกมองข้ามหรือ disowned ไป คนอื่นซึ่งมักจะใกล้ตัวก็จะหยิบยื่นมาให้



2. ทุกเช้าผมนั่งรถกับหลานสาวไปโรงเรียน ลงรถพร้อมหลานส่งหลาน แล้วเดินไปขึ้นรถเมล์ที่แยกเพลินจิต ไปลงสุดสายถนนสีลม เดินผ่านย่านที่คุ้นเคยสมัยเป็นนักเรียนแถวนั้น นั่งเรือท่าดูเม็กซ์ (ตามป้ายโฆษณาในสมัยนั้น)ไปต่อรถเมล์จากคลองสานไปหนองแขม เดินจากถนนใหญ่เข้าไปที่โรงเรียนในสถานีโทรทัศน์ซึ่งวันนั้นตั้งตระหง่านอยู่กลางทุ่ง

แต่ละวันหมดไปกับการเป็นผู้ช่วยสอน แต่ก็กลายเป็นผู้เรียน ที่เวียนอยู่กับคลาสการแสดงของครูใหญ่ คลาสการเคลื่อนไหวของครูฮานส์ คลาสฝึกการใช้เสียงของครูบรู้ซ

นักเรียนการแสดงในรุ่นนั้นและก่อนนั้นมี ดิลก ทองวัฒนา ธงชัย ประสงค์สันติ กุลกนิช คุ้มครอง กษมา นิสสัยพันธุ์ และอีกหลายคนซึ่งกำลังฝึกซ้อมเพื่อคัดตัวและแสดงใน "คำพิพากษา" ที่ครูใหญ่ อาจารย์สดใส เขียนบทและกำกับการแสดง

ความที่กษมาบ้านอยู่แถวพระโขนงก็ติดรถกลับมากับลูกศิษย์ การเดินทางก็สะดวกขึ้นมาบ้าง

ชีวิตในวันนั้นราบรื่นและตื่นเต้นไปกับการเรียนการสอน ซึ่งกลายเป็นการเรียนมากกว่าจะสอน เรียนจากครูอย่างที่ไม่เคยมีเวลาเรียนในชั้นเรียนของมหาวิทยาลัย

เรียนอะไร เรียนเข้าไปในร่างกาย เครื่องมือเดียวของนักแสดง ศิลปินผู้ปราศจากพู่กัน ไวโอลินหรือเปียโน มีแต่เนื้อตัวและหัวใจ ที่เขาจะต้องทำความรู้จักมักคุ้นจนทำตนเป็นดินเหนียวชั้นดี ให้ผู้กำกับได้ปั้นแต่งจนเป็นตัวละคร

สอนอะไร สอนน้อยมาก นอกจากเล่าขานเรื่องที่เคยเห็นเคยผ่านมา อาศัยวิชาที่เคยเรียนผ่านมา มาประยุกต์ให้เข้ากับแนวทางที่ครูสอนไว้ ยังเด็กเกินนักที่จะนำพาเด็กด้วยกันไป

เหนื่อยกับการเดินทางเช้าเย็น จากพระโขนงหนองแขมไปกลับ แต่ไม่เหนื่อยกับการเดินตามครูบาอาจารย์และได้รับความเมตตาเอ็นดูจากทุกท่าน แม้นจะเป็นเวลาช่วงสั้น ๆ เพียงข้ามปี

สนุกอยู่กับชีวิตที่อยู่ใน studio ฝึกการแสดงทุกวันวันละเจ็ดแปดชั่วโมง เหมือนฝัน แล้วไม่สนุกอีกเลยเมื่อต้องตื่นจากฝันแล้วเผชิญความจริง

ความจริงที่อาศัยบ้านของพี่ซุกหัว ความจริงที่รายได้ชักหน้าไม่ถึงหลัง ทั้งที่ยังไม่มีค่าใช้จ่ายหลัก ๆ ความจริงที่ชีวิตในฝันนั้นไม่สมจริงนัก ความจริงที่ชีวิตในฝันนั้นพึ่งพิงคนอื่นมากมาย ผิดวิสัยที่เคยยืนได้ด้วยตัวเองก่อนหน้านั้นในเมืองนอก

แล้วความฝันก็ปิดฉากลงเมื่อต้องเดินจากโรงเรียนการแสดงแล้วเริ่มทำงานในบริษัทธุรกิจค้าขายเต็มตัวของพี่เขย ความฝันที่จะเป็นนักละครเป็นครูละครเป็นคนละครกลายเป็นเพียงความทรงจำ



3. Passion ทั้งหลายต้องหลีกทางให้ “ไม้เบื่อไม้เมา” ที่ขยาดหวาดหวั่นมาแต่ครั้งยังเป็นนักกิจกรรมทางสังคมสมัยเป็นนักเรียนมัธยม

ไม้เบื่อไม้เมาที่พยายามหลีกเลี่ยง เพราะคุณค่าตรงกันข้ามกับอุดมคติที่เคยยึดถือ “ทำเพื่อผลประโยชน์ของคนอื่นสูงส่งกว่าทำเพื่อกำรี้กำไรของตนเอง”

อาจารย์สดใสกล่าวให้ไว้ก่อนตัดสินใจอำลาโรงเรียนการแสดงว่า “งานทุกงานมีคุณค่าในตัวของมันเอง”

เกือบตลอดกว่าสามสิบปีหลังจากนั้น ผมก็พยายามหาคุณค่าให้กับงานธุรกิจที่รับจ้างมารับผิดชอบ คุณค่าทั้งที่มีนโยบายรองรับหรือไม่ก็ตาม

วันนั้นผมยังไม่รู้จักสำนวนที่ว่า “เมื่อประตูหนึ่งปิดลง อีกประตูจะเปิดออก” ซึ่งอาจจะช่วยปลอบประโลม หรือประคับประคองวันเปลี่ยนผ่านได้อย่างไม่อึดอัดขัดใจอย่างที่เกิดขึ้นอย่างหนักนักในเวลานั้น

แต่ทุกอย่างที่เคยมองข้าม ไม่ว่าจะเป็นการค้าการขาย การพบปะสังสรรค์หรือปะทะสั่งสอนกับผู้คนที่ไม่พึงปรารถนา เหล่านี้ที่วันเวลาหนึ่งมองข้าม หรือ disown อย่างไม่ให้ราคา ต่างก็ตามมาให้ต้องเผชิญในที่สุดอยู่ดี

แค่มองข้ามไปไม่กี่ปีก่อนที่จะเข้าทำงานธุรกิจ กลับต้องใช้ทั้งชีวิตนำกลับคืนมา

รู้งี้ไม่ disown ไม่มองข้ามเสียแต่ต้น คงจะดี เปลี่ยน “ไม้เบื่อไม้เมา”ทั้งหลายให้กลายเป็น “ไม่เบื่อไม่เมา”อะไรเลย จะได้ไม่ต้องตามชดใช้

อ่านแล้วไม่เบื่อไม่เมากดไลค์ละกัน
อ่านแล้วเบื่อแล้วเมาอยู่เฉย ๆ ละกัน
#พี่อู๊ดสมพล ณ #ประสบกร #สำรวจตัวตน
#ธีมมองข้ามอะไรอะไรนั้นจะข้ามกลับมาหา
#นักเขียนพันธุ์X P1: บทความทั่วไป กับ DAY… #3/21

สำรวจตัวตน#4

ตอนสุดท้าย
#พี่อู๊ดสมพล อ.บ. 44
Somphol Chaisiriroj

#ไม่ชอบอะไรไม่ชอบต่อไปแต่ทำซะ

1. ความเดิมจากตอนที่แล้ว:

ผมก้าวออกจากงานในฝัน จากงานสอนการแสดง จากครูบาอาจารย์ที่รัก แล้วมารับจ้างทำงานธุรกิจ

งานธุรกิจที่นอกจากไม่ประสีประสาแล้ว ยังรังเกียจรังงอนอยู่ในใจลึก ๆ ด้วยหลายเหตุปัจจัย แต่ไม่รู้สึกตัว ได้แต่รู้สึกไม่ชอบ โดยไม่รู้ทันเหตุปัจจัยเหล่านั้น

ความรู้ทางธุรกิจที่ลักจำเขามาใกล้ตัวที่สุดในวันนั้นคือ สมัยเรียนเมืองนอกรับจ้างพวกที่เรียน MBA ดีดพิมพ์งานส่ง ด้วยความที่เรียนพิมพ์ดีดสัมผัสมาตั้งแต่มัธยมก็ได้อาศัยทักษะนี้มาพิมพ์งานของพี่ ๆ หากิน

พิมพ์ไปอ่านไปทำความเข้าใจไป แต่ส่วนใหญ่ไร้สาระ เพราะ case study ที่อ่านอยู่บนสมมุติฐานบางประการว่า สถานการณ์เงื่อนไขไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่งานจริงทุกอย่างเปลี่ยน เปลี่ยนตลอดเวลา และแปลงไปตามจุดยืน มุมมอง ตัวตนของนักบริหารธุรกิจนั้น ๆ เรื่องนี้ยังไม่ใช่ประเด็นในตอนนี้

จบอักษรฯ เอกปรัชญา โทละคร รักแต่จะสอนเรื่องที่ตนคิดว่าตนรู้ แล้วให้ตูมาทำงานธุรกิจ ตูจะรอดไหมเนี่ย ? คำถามนี้ฝังใจ คำตอบยังคาใจ เป็นความหวั่นไหวที่สั่นสะเทือนมาตลอดชีวิตก็ว่าได้



2. แม้นจะถูกอบรมจากพี่เขยพี่สาวว่า เรียนจบอะไรมา หากมุ่งมั่นตั้งใจทำงานก็เรียนรู้และประสบความสำเร็จได้เช่นกัน

ก็จริงอยู่ แต่ลึกกว่านั้นคืออะไรที่สั่นคลอนหัวใจ จนหัวใจและสมองกับสองมือแทบไม่อยากทำงานงานนี้

วันนั้นผมไม่ได้ถามคำถามนี้กับตนเอง (อีกแล้ว) คงเป็นเพราะภาระหน้าที่ความกตัญญูหรือการพึ่งพิงที่กรูกันเข้ามา จนกลายเป็นความจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ (Inevitable Necessity) ในที่สุด*

แต่พูดอย่างจริงใจที่สุดก็ได้แค่ ตูไม่อยากทำเลย แต่ก็น้ำท่วมปาก เพราะกินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง

วันเริ่มทำงาน ผมเดินเข้าไปพบเจ้านายที่ห้องของเขา ถ้าจำไม่ผิดเขาถามผมว่า “อยากทำงานอะไร ?” ด้วยความใสซื่อบริสุทธิ์และโง่เขลาผมตอบเขาว่า “ทำงานอะไรก็ได้ครับที่ไม่เกี่ยวกับตัวเลข”

เป็นความภูมิใจลึก ๆ ของเด็กอักษรที่มักสอนกันมาว่า เราเรียนอักษรเพราะเราไม่เก่งคณิตศาสตร์ ดังนั้นถ้าจะทำงานเราก็น่าจะได้ใช้วิชาที่ครูบาอาจารย์มอบให้มาซึ่งหาใช่งานเกี่ยวกับตัวเลขไม่**

ผมจำบทสนทนาต่อไปในวันนั้นไม่ได้ แต่เช้าวันรุ่งขึ้น ผมพบแฟ้มตัวเลขการวางแผนงบประมาณประจำปี 2527 ของหน่วยงานที่ผมเข้าไปเกี่ยวข้อง ตั้งเป็นกองพะเนินอยู่บนโต๊ะทำงาน จะมีโน้ตให้ทำความเข้าใจหรือทำให้เสร็จ จำได้ไม่แน่ชัดนัก เพราะนั่นเป็นวันที่ 4 มกราคม 2527 หนึ่งวันหลังวันเริ่มงาน

ผมจำไม่ได้หรอกว่า ผมทำอะไรกับแฟ้มเหล่านั้น อย่างดีก็เดินไปหาคนช่วย ซึ่งก็คงเป็นคนแถว ๆ นั้น ผมจำความรู้สึกที่แท้จริงในวันนั้นไม่ได้ แต่พอจะคาดเดาปฏิกิริยาในใจของตนในวันนั้นได้ ที่หนักอกหนักใจอยู่แล้วก็คงไปกันใหญ่ แต่ก็ก้มหน้าก้มตาทำไป งานเกี่ยวกับตัวเลขที่ไม่ถนัด ตามหลอกตามหลอนเกือบตลอดการทำงานในช่วงแรก

ในห้องประชุมสี่เหลี่ยมที่แสนจะอึดอัด บนกระดานขาวที่มีตารางตัวเลขขายวันนี้ วันก่อน ปีนี้ ปีก่อน เทียบขึ้นลงเป็นเปอร์เซนต์ เป็นสัดส่วน ล้วนแต่เหมือนหนามแหลมคอยทิ่มแทงใจที่คิดคำนวณไม่ทัน นอกเหนือเนื้องานที่เขาพูดคุยกันอะไรก็ไม่ค่อยรู้เรื่องด้วย

ครั้นจะใช้เครื่องคิดเลขก็ใช้ไม่เป็น พอใช้ได้ก็เก้เก้ก้างก้าง ช่างเป็นเวลาที่ทรมานใจอยู่อย่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูก

ยังดีที่เจ้านายส่งพี่เลี้ยงมาประกบช่วยดูแลสอนงานสารพัด พอให้ถูไถงานไปได้อย่างงู ๆ ปลา ๆ พี่เลี้ยงคนนี้ดูแลดีมาก เลยหาทางเอามาเลี้ยงดูที่บ้านต่อไป



3. เมื่อเครื่องคิดเลขไม่ตอบโจทย์ ก็หันมาคิดเลขในใจไปพร้อม ๆ กับกวาดสายตาหาตัวเลขที่ผิดปกติบนกระดาน แล้ววันหนึ่งก็พบว่า คิดเลขในใจได้เร็วมาก

แต่เมื่อปริมาณและขนาดของงานที่ต้องรับผิดชอบขยายใหญ่ขึ้น ความซับซ้อนของงานและตัวเลขที่เกี่ยวข้องเกินกำลังจะมาดีดลูกคิดในใจ ก็เดินไปหาผู้จัดการใหญ่ฝ่ายบัญชีและการเงิน ขอคนที่เชื่ยวชาญมาช่วยงาน ท่านก็เกื้อกูลเจือจานคนของท่านมาให้

เธอคนนั้นมาเป็นขุนพลมือขวาคู่ใจทำงานคู่กันกว่าสามสิบปี ทั้งตบตีกัน ทั้งร่วมมือกัน ทั้งต่อว่าด่ากัน ทั้งชื่นชมกัน เพราะต่างเป็นขั้วตรงกันข้ามของกันและกัน จนเกษียณจากกันในวันที่ธุรกิจที่ดูแลร่วมกันมีขนาดกว่าพันสองร้อยล้าน ดูแลคนกว่าเจ็ดร้อยคน รับผิดชอบการกินดีอยู่ดีของครอบครัวพวกเขาเกือบสามพันชีวิต แม้นเราจะเป็นเพียงหน่วยธุรกิจอันดับสองในบริษัทขนาดหมื่นล้านก็ตาม เธอภูมิใจว่า เราขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในเกณฑ์ประเมินโบนัสของบริษัทในปีที่ผมลงจากตำแหน่งซีอีโอของธุรกิจนี้

วันนั้นจะมาไม่ถึง หรือผมจะไปไม่ถึงไหนเลย หากกลางหนาวของต้นปี 2527 ผมสะบัดปัดงานแฟ้มงบประมาณเหล่านั้นด้วยอารมณ์เพียงว่า “ก็บอกแล้วว่า ไม่เอางานตัวเลข” แล้วไม่ก้มหน้าก้มตารับชะตากรรมที่ท้าทายทุกอย่างที่ตนเคยให้ความหมายกับตนเองมา

ผมเพิ่งพบว่า ความหมายและคุณค่าที่เคยมีมา หากไม่ขยับปรับเปลี่ยนไปตามกาลเทศะและวาระ ก็อาจจะกลายเป็นอุปสรรคที่จะค้นพบความหมายและคุณค่าที่แตกต่างอย่างยิ่งใหญ่หรือลึกซึ้งยิ่งกว่าหรือจำเป็นยิ่งกว่าก็ได้ ….กระมัง

อ่านแล้วชอบ กดอะไรก็ได้ตามใจชอบ
อ่านแล้วพบคุณค่าความหมาย ก็แชร์ไปให้ใครต่อใครที่มีความหมายและมีคุณค่านะ
#พี่อู๊ดสมพล #ประสบกร ณ #ย้อนตัวตน
Somphol Chaisiriroj The Elder
Voice Dialogue Teacher & Facilitator

หมายเหตุ

*ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเมื่อ Primary Power Self System ทำงานอย่างเต็มกำลังที่จะปกป้อง Disowned Vulnerable Self อย่างสุดความสามารถ ….
** ในยุคต้น ๆ ของคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย มีสอนคณิตศาสตร์เป็นวิชาเอก
#นักเขียนพันธุ์X P1: บทความทั่วไป กับ DAY… #4/21
#ธีมไม่ชอบอะไรไม่ชอบต่อไปแต่ทำซะ
#ความหมายและคุณค่าที่เคยมีมาหากไม่ขยับปรับเปลี่ยนไปตามกาลเทศะและวาระก็อาจจะกลายเป็นอุปสรรคที่จะค้นพบความหมายและคุณค่าที่แตกต่างอย่างยิ่งใหญ่หรือลึกซึ้งยิ่งกว่าหรือจำเป็นยิ่งกว่าก็ได้