“ว่านไสยเวช”: อนุกรมวิธานพื้นบ้าน การสืบทอดความเชื่อเเละพิธีกรรมและบทบาทในสังคมอีสานร่วมสมัย

“ว่านไสยเวช”: อนุกรมวิธานพื้นบ้าน การสืบทอดความเชื่อเเละพิธีกรรมและบทบาทในสังคมอีสานร่วมสมัย

ชวพันธุ์ เพชรไกร

วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิต
ภาควิชาภาษาไทย
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ปีการศึกษา ๒๕๖๗

วัตถุประสงค์ของการวิจัย
๑. เพื่อรวบรวมและจัดอนุกรมวิธานพื้นบ้านของ “ว่านไสยเวช” ในสังคมอีสานร่วมสมัย
๒. เพื่อวิเคราะห์การสืบทอดและบทบาทของความเชื่อและพิธีกรรมเกี่ยวกับ “ว่านไสยเวช” ดังกล่าว

สมมติฐานของการวิจัย
๑. องค์ความรู้เรื่อง “ว่านไสยเวช” จากหมอว่านและนักสะสมว่านในสังคมอีสานในปัจจุบัน มีลักษณะเป็นอนุกรมวิธานพื้นบ้านที่แสดงให้เห็นความเชื่อและวิธีคิดที่มีต่อว่านว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็นทั้ง “ยา” และ “อาคม” มีจิตวิญญาณที่สัมพันธ์กับระบบนิเวศ อีกทั้งมีลำดับชั้นและมีสรรพคุณในระดับที่แตกต่างกัน เป็นองค์ความรู้ที่สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันสลับซับซ้อนและละเอียดอ่อนระหว่างมนุษย์ ธรรมชาติ และอำนาจเหนือธรรมชาติ
๒. ความเชื่อและพิธีกรรมเกี่ยวกับ “ว่านไสยเวช” ในสังคมอีสาน มีการสืบทอดทั้งในกลุ่มหมอพระ หมอธรรมพื้นบ้าน และนักสะสมว่าน แสดงให้เห็นถึงการนำองค์ความรู้เกี่ยวกับว่านต่าง ๆ มาใช้อย่างมีระบบ โดยมีบทบาทสำคัญในการรักษาโรคและความเจ็บป่วย ป้องกันภยันตราย และยืนยันถึงความศักดิ์สิทธิ์ของอำนาจเหนือธรรมชาติ

บทคัดย่อ
วิทยานิพนธ์นี้มุ่งศึกษารวบรวมและจัดอนุกรมวิธานพื้นบ้านของ “ว่านไสยเวช” ในสังคมอีสานร่วมสมัยและวิเคราะห์การสืบทอดและบทบาทของความเชื่อและพิธีกรรมเกี่ยวกับ “ว่านไสยเวช” ดังกล่าว เก็บข้อมูลระหว่างปี ๒๕๖๔-๒๕๖๗ ด้วยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกจากหมอว่านและนักสะสมว่านในอีสาน และการสังเกตอย่างมีส่วนร่วมพิธีกรรมเกี่ยวกับว่าน รวม ๘ จังหวัด ประกอบด้วย หนองคาย นครพนม อุดรธานี ขอนแก่น สกลนคร สุรินทร์ ร้อยเอ็ด และอุบลราชธานี ใช้แนวคิดเรื่องการจัดอนุกรมวิธานพื้นบ้าน แนวคิดเรื่องนิเวศวิทยากับความเชื่อพื้นบ้าน แนวคิดเรื่องคติชนในวิถีสุขภาพพื้นบ้าน และแนวคิดเรื่องบทบาทหน้าที่ของคติชนในสังคม เป็นกรอบแนวคิดในการวิเคราะห์ข้อมูล

ผลการศึกษาพบว่า หมอว่านและนักสะสมว่านในอีสานสืบทอดความรู้เรื่องว่านในลักษณะมุขปาฐะเป็นหลักมีวิธีการจัดจำแนกประเภทของว่านอย่างเป็นระบบ ประกอบด้วย ๘ ประเภทหลักที่สายการสืบทอดส่วนใหญ่รับรู้ตรงกัน ได้แก่ ๑) แบ่งตามชื่อเรียกตามลักษณะทางกายภาพของว่าน ๒) แบ่งตามชื่อเรียก ซึ่งนำมาจากลักษณะทางความเชื่อ ๓) แบ่งตามเพศสมมติของว่าน ๔) แบ่งตามตระกูลของว่าน ๕) แบ่งตามสรรพคุณของว่าน ๖) แบ่งตามหน้าที่และสัมพันธภาพของว่าน ๗) แบ่งตามประสาทสัมผัสของผู้ใช้ว่าน และ ๘) แบ่งตามลักษณะของสิ่งที่ไม่ใช่พืช ทั้งนี้ พบว่าการสืบทอดในบางสายมีการจัดจำแนกประเภทว่านชุดย่อย ได้แก่ ๑) ว่านพุทธคุณ ๒) ว่านถอน ๓) ว่านไสย ๔) ว่านพราย ๕) ว่านแสง ๖) ว่านพิษ และ ๗) ว่านผี ซึ่งเกณฑ์ในการจัดประเภทนี้มีฐานคิดมาจากวัฒนธรรมของอีสานและประสบการณ์ในการใช้ว่าน ทำให้เห็นถึงลำดับศักดิ์และชั้นของว่านแต่ละประเภทที่มีความหมายแตกต่างกัน การจัดจำแนกประเภทว่านของหมอว่านและนักสะสมว่านในอีสานยังมีความสัมพันธ์กับการสืบทอดความรู้เรื่องว่าน เนื่องจากศิษย์จะได้รับการถ่ายทอดความรู้เรื่องการจัดประเภทและการใช้งานว่านจากครูผ่านการร่วมพิธีกรรมต่าง ๆ จำแนกพิธีกรรมเกี่ยวกับว่านเป็น ๓ กลุ่มหลัก ได้แก่ ๑) กลุ่มพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการหาว่านและสร้างความศักดิ์สิทธิ์แก่ว่าน ๒) กลุ่มพิธีกรรมที่ใช้ว่านในการรักษาโรคและความเจ็บป่วย และ ๓) กลุ่มพิธีกรรมที่นำว่านมาทำเป็นวัตถุมงคลการจัดจำแนกประเภทของว่านต่าง ๆ ช่วยให้หมอว่านและนักสะสมว่านใช้ว่านหลัก ว่านรอง ว่านเสริม และว่านแก้ได้อย่างตรงตามสรรพคุณ ส่งผลให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้ว่านได้ดียิ่งขึ้น

บทบาทของคติความเชื่อและพิธีกรรมเกี่ยวกับ “ว่านไสยเวช” มีหลายประการ ได้แก่ ๑) บทบาทในการรักษาโรค บำบัดความเจ็บป่วยทางจิตวิญญาณ และเป็นที่พึ่งทางใจ ๒) บทบาทในการสืบทอดความรู้เรื่องพืชซึ่งสัมพันธ์กับการสืบทอดระบบความเชื่อทางศาสนา ๓) บทบาทในการกำหนดวิถีปฏิบัติของกลุ่มผู้ใช้ว่านซึ่งสัมพันธ์กับบรรทัดฐานทางสังคม ๔) บทบาทในการธำรงอัตลักษณ์และการสร้างสถานภาพในสังคม และ ๕) บทบาทในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าและธุรกิจความเชื่อในบริบทเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ข้อค้นพบจากการศึกษาในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงคุณค่าและความสำคัญของ “อนุกรมวิธานพื้นบ้าน” อันเป็นเครื่องมือที่ช่วยสะท้อนให้เห็นการจัดระเบียบความคิดของชาวบ้านที่มีต่อว่านในระบบนิเวศว่ามีจิตวิญญาณ ทั้งยังช่วยยืนยันถึงความสัมพันธ์อันสลับซับซ้อนของมนุษย์ ธรรมชาติ และอำนาจเหนือธรรมชาติ นับเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการศึกษาเกี่ยวกับคติชนเกี่ยวกับพืช (Plant Lore) และคติชนอื่น ๆ ได้ต่อไป

อ่านวิทยานิพนธ์ฉบับออนไลน์ได้ที่
Chula DigiVerse: Digital Preservation of Chulalongkorn University