ผลงานชุดคติชนวิทยา ลำดับที่ ๓

สุกัญญา สุจฉายา. เพลงพื้นบ้านศึกษา. (พิมพ์ครั้งที่ ๒). กรุงเทพฯ: โครงการเผยแพร่ผลงานวิชาการ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๕. (๑๗๑ หน้า)

        ผู้ที่สนใจศึกษาคติชนวิทยาโดยเฉพาะข้อมูลประเภทเพลงพื้นบ้าน คงไม่มีใครไม่รู้จักหนังสือเล่มนี้ เพลงพื้นบ้านศึกษา ผลงานของศาสตราจารย์สุกัญญา สุจฉายา นักคติชนผู้อยู่ในวงการศึกษาเพลงพื้นบ้านมาอย่างยาวนาน

        ผู้เขียนได้นำเสนอองค์ความรู้จากการลงเก็บข้อมูลภาคสนาม โดยการสัมภาษณ์พ่อเพลงแม่เพลง และรวบรวมเพลงพื้นบ้านซึ่งถือเป็นวรรณกรรมมุขปาฐะ (oral literature) รูปแบบหนึ่ง แล้วนำมาสังเคราะห์เรียบเรียงเป็นตำราที่อ่านง่าย ใช้ภาษาอธิบายอย่างกระชับ มีการยกตัวอย่างเพลงพื้นบ้านประกอบอย่างน่าสนใจ ทำให้ผู้อ่านเห็นลักษณะเฉพาะของเพลงพื้นบ้านภาคกลางได้อย่างชัดเจน

        เนื้อหาภายในเล่มเรียงร้อยอย่างเป็นระบบ แบ่งการนำเสนอเนื้อหาออกเป็น ๒ ภาคหลัก
        ภาคที่ ๑ ใช้ชื่อว่า “ปริทัศน์เพลงพื้นบ้าน”
        และภาคที่ ๒ ใช้ชื่อว่า “เพลงพื้นบ้านวิเคราะห์”

        “ปริทัศน์เพลงพื้นบ้าน” ในภาคแรกนั้น ผู้เขียนนำเสนอเนื้อหา ๕ บท ได้แก่

                บทที่ ๑ “เพลงพื้นบ้านในฐานะงานวรรณกรรมมุขปาฐะ” เป็นบทเกริ่นนำเพื่อปูพื้นฐานให้ผู้อ่านได้รู้จักธรรมชาติของร้อยกรองมุขปาฐะ (oral poetry) ที่มีลักษณะการถ่ายทอดกันปากต่อปาก ใช้ถ้อยคำที่เรียบง่าย เดินเรื่องด้วยกลอนหัวเดียวและต้องอาศัยดนตรีพื้นบ้านในการกำกับ ทั้งนี้ผู้เขียนยังได้นำเสนอลักษณะเด่นของเพลงพื้นบ้านและอธิบายศัพท์เฉพาะทางอีกด้วย

                บทที่ ๒ “การแบ่งประเภทเพลงพื้นบ้าน” ผู้เขียนนำเสนอวิธีการจำแนกประเภทในรูปแบบต่าง ๆ เช่น แบ่งตามพื้นที่ แบ่งตามกลุ่มวัฒนธรรม แบ่งตามโอกาสที่ร้อง แบ่งตามจุดประสงค์ แบ่งตามเพศ วัย และจำนวนของผู้ร้อง ได้ยกตัวอย่างเพลงที่ใช้ประกอบการละเล่นและที่ใช้ในพิธีกรรมอย่างหลากหลาย

                บทที่ ๓ “เพลงโต้ตอบของภาคกลาง” หรือที่รู้จักกันว่า “เพลงปฏิพากย์” ในบทนี้ผู้เขียนอธิบายถึงกระบวนการถ่ายทอดเพลงพื้นบ้าน ซึ่งมีลักษณะสำคัญคือการท่องจำกลอนครู และการด้นกลอนสด นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงธรรมเนียมในการเล่นเพลงโต้ตอบที่เป็นมหรสพด้วย

                บทที่ ๔ “พัฒนาการของเพลงพื้นบ้าน” นำเสนอการเปลี่ยนแปลงรูปแบบและหน้าที่ของเพลงพื้นบ้านที่เป็นพิธีกรรม เพลงพื้นบ้านที่เป็นการละเล่น และเพลงพื้นบ้านที่เป็นการแสดงซึ่งพัฒนามาเป็นมหรสพพื้นบ้านในเวลาต่อมา

                บทที่ ๕ “เพลงพื้นบ้านกับสังคมไทย” ในบทนี้ผู้เขียนชี้ให้เห็นบทบาทของเพลงพื้นบ้านในสังคมไทย ๕ ประการ คือ ให้ความบันเทิง ให้การศึกษา ควบคุมสังคม เป็นทางระบายความคับข้องใจและเป็นสื่อมวลชน ตลอดจนได้นำเสนอภาพสะท้อนสังคมผ่านเพลงพื้นบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการประกอบอาชีพ ความเชื่อ ค่านิยมและทัศนคติของผู้คนในสังคมด้วย เนื้อหาในภาคแรกนี้จึงเป็นความพยายามในการนำเสนอภาพรวมของเพลงพื้นบ้านอย่างรอบด้าน

        ส่วน “เพลงพื้นบ้านวิเคราะห์” ในภาคที่ ๒ เป็นการรวมบทวิเคราะห์เกี่ยวกับเพลงพื้นบ้าน นำเสนอเนื้อหา ๕ บทเช่นเดียวกัน ได้แก่

                บทที่ ๖ “เพลงพื้นบ้านที่ถ่ายทอดวรรณคดี”
บทนี้เริ่มต้นด้วยการอธิบายถึงเรื่องรสนิยมการเสพวรรณคดีของคนไทยผ่านการฟังและชมการแสดงที่นำเรื่องราวจากวรรณคดีมาใช้ และวิเคราะห์เพลงพื้นบ้านที่ทำหน้าที่เป็นสื่อถ่ายทอดวรรณคดีซึ่งไม่ได้สร้างสรรค์ขึ้นจากกระบวนการมุขปาฐะเพียงอย่างเดียว แต่ยังได้รับอิทธิพลจากวรรณคดีลายลักษณ์ด้วย

                บทที่ ๗ “แบบโครงสร้างเพลงกล่อมเด็กอีสาน” ผู้เขียนได้นำทฤษฎีโครงสร้างนิยมมาวิเคราะห์แบบโครงสร้างและวิเคราะห์อนุภาคสำคัญในเพลงกล่อมเด็กอีสาน คือ การขู่และการให้สินบน

                ในบทที่ ๘ “การศึกษาเปรียบเทียบเพลงและการแสดงพื้นบ้านภาคเหนือและอีสาน” ผู้เขียนได้วิเคราะห์ประเด็นเกี่ยวกับประเพณีเกี้ยวสาวและการเล่านิทานซึ่งเป็นต้นธารของ “ซอ” และ “ลำ” ซึ่งพัฒนาไปสู่การเป็นมหรสพ นอกจากนี้ผู้เขียนยังได้วิเคราะห์เปรียบเทียบการดำรงอยู่ในสังคมปัจจุบันของหมอลำและเพลงซอ ซึ่งมีปัจจัยในการปรับตัวที่แตกต่างกัน

                บทที่ ๙ “ภูมิปัญญาไทยในเพลงพื้นบ้าน” เป็นบทที่นำผู้อ่านไปสู่การพินิจเพลงพื้นบ้านในฐานะที่เป็นวัฒนธรรมทางภาษา มีศิลปะการใช้ถ้อยคำและสำนวนโวหาร โดยเฉพาะโวหารโต้ตอบในการเกี้ยวพาราสีและเรื่องเพศ

                บทสุดท้ายคือ “เพลงพื้นบ้านกับการสื่อสาระทางการเมือง” ในบทนี้ผู้เขียนตั้งคำถามให้ผู้อ่านคิดว่า ทำไมต้องเป็นเพลงพื้นบ้านในการสื่อสารประเด็นทางการเมือง ต่อมาได้อ้างถึงบทเพลงพื้นบ้านของจีนและรัสเซียที่แฝงทัศนะอันขมชื่นของชาวบ้านที่มีต่อผู้นำ และเมื่อย้อนดูในสังคมไทยก็พบทัศนะดังกล่าวในผญาของคนลาวที่ถูกกวาดต้อนมาประเทศไทย ในแง่นี้เพลงพื้นบ้านจึงมีบทบาทในการเป็น “กระบอกเสียงของชาวบ้าน” ที่สะท้อนให้เห็นความคิดที่ไม่ยอมจำนนต่อชนชั้นปกครอง

        จะเห็นได้ว่าผู้เขียนออกแบบการนำเสนอเนื้อหาทั้ง ๒ ส่วนไว้อย่างน่าสนใจและครอบคลุมความรู้สำคัญที่เกี่ยวกับการศึกษาเพลงพื้นบ้าน โดยเริ่มต้นจากการฉายภาพรวมซึ่งครอบคลุมเรื่องธรรมชาติและลักษณะเฉพาะของเพลงพื้นบ้าน จากนั้นจึงนำไปสู่ส่วนของการวิเคราะห์ซึ่งประยุกต์ใช้แนวคิดอย่างหลากหลาย ทั้งที่เป็นแนวคิดในเชิงโครงสร้างนิยม แนวคิดในเชิงเปรียบเทียบ และแนวคิดในเชิงหน้าที่นิยม เป็นการเน้นย้ำให้ผู้อ่านประจักษ์ถึง “เสน่ห์” ของเพลงพื้นบ้านซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่มีคุณค่า จึงไม่เป็นที่สงสัยว่าเหตุใดหนังสือเล่มนี้ยังคงเป็น “ตำราเล่มสำคัญ” ที่ช่วยสร้างแนวทางในการศึกษาวรรณกรรมมุขปาฐะของไทยให้แก่นักวิจัยในชั้นหลัง

ผู้ปริทัศน์ : ชวพันธุ์ เพชรไกร
นิสิตอักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิต
สาขาคติชนวิทยา
ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

#ปริทัศน์หนังสือผลงานของศูนย์คติชนวิทยา