อ่านนิทาน “อ่านมนุษย์”(๒)

อ่านนิทาน “อ่านมนุษย์”[1] (๒)

ศิราพร ณ ถลาง [2]

เกริ่นนำ: รู้จักมนุษย์จากมุมมนุษยศาสตร์

        มนุษยศาสตร์ (Humanities) เป็นสาขาวิชาการที่ไม่ได้รับการยกย่องเท่าวิทยาศาสตร์ (Science) คงด้วยความคิดและค่านิยมทางสังคมบางประการ  เช่น คนที่ “หัวดี” และคิดว่าตัวเอง “เก่ง” มักเลือกเรียนแพทยศาสตร์ เรียนวิศวกรรมศาสตร์,  ผู้ที่เรียนทาง “สายวิทย์” มักเรียนต่อในสาขาที่ “ทำเงิน” ได้มากกว่าผู้ที่เรียนทาง “สายศิลป์” คนที่เรียนทางด้านภาษาและวรรณคดีมักถูกมองว่าเป็นคนเพ้อฝัน ฯลฯ  และคนทั่วไปก็ไม่ค่อยเห็นว่ามนุษยศาสตร์สำคัญ เพราะคงคิดว่า “ก็เราเป็นมนุษย์อยู่แล้ว” “รู้จักมนุษย์ดีอยู่แล้ว ไม่เห็นจะต้องเรียน” “เรียนทางมนุษยศาสตร์หางานทำยาก ได้เงินเดือนไม่มากเท่าสายวิทยาศาสตร์”

        ทว่า ในความเป็นจริง มนุษยศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ทำให้เข้าใจจิตวิญญาณ อารมณ์ความรู้สึก และศักยภาพในทางสร้างสรรค์ของมนุษย์ ถ้าแปลตรงตัว “มนุษยศาสตร์” ก็น่าจะแปลว่า “วิชาที่เกี่ยวกับมนุษย์” หรือ “วิชาที่สะท้อนความเป็นมนุษย์” ครอบคลุมสาขาวิชาที่เป็นการแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ของมนุษย์ เช่น การใช้ภาษาในแง่มุมต่าง ๆ การสร้างสรรค์วรรณคดี วรรณกรรม เรื่องเล่า นิทานตำนาน ละคร ตลอดจนการบันทึกเรื่องราวของมนุษย์ผ่านประวัติศาสตร์  เป็นต้น

        การเรียนการสอนในสาขาวิชาการทางด้านมนุษยศาสตร์ทำให้เห็นว่า

  • มนุษย์มีวัฒนธรรมการสื่อสารด้วยภาษาที่เป็นระบบสัญลักษณ์แทนความหมายอย่างหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นภาษาที่เป็นถ้อยคำ ภาษาภาพ ภาษากาย เช่น สีหน้า ดวงตา รอยยิ้ม น้ำตา ภาษาท่าทางเพื่อแสดงอารมณ์  เช่น การโอบกอดเพื่อแสดงความรัก  การลงไม้ลงมือทำร้ายกันเพื่อแสดงความไม่พอใจหรือแสดงอารมณ์โกรธ ตลอดจนการใช้ภาษาเขียนในการบันทึกข้อมูลเรื่องราวหรือสร้างสรรค์งานวรรณกรรมประเภทต่าง ๆ
  • มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีความคิด มีจินตนาการ มีความฝัน มีความคิดสร้างสรรค์; ผลผลิตจากคุณสมบัติดังกล่าวนี้จึงมีทั้งเรื่องเล่า นิทาน วรรณคดี ของเล่น ภาพวาด รูปปั้น ผ้าทอ เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ รถยนต์ เครื่องบิน คอมพิวเตอร์ ตลอดจนเทคโนโลยี สิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ ปัญญาประดิษฐ์ ฯลฯ
  • มนุษย์ชอบฟังเรื่องเล่า และชอบเล่าเรื่อง มีความตื่นเต้นไปกับเรื่องเล่า และมีความสุขหรือทุกข์ไปตามเรื่องเล่า จึงทำให้เกิดเรื่องเล่าประเภทต่าง ๆ เช่น นิทานมหัศจรรย์ นิทานตลก นิทานเรื่องโม้ นิทานอธิบายเหตุ นวนิยาย โศกนาฏกรรม สุขนาฏกรรม ละครประเภทต่างๆ รวมไปถึงเรื่องราวและประวัติศาสตร์เหตุการณ์ที่มีปมขัดแย้งและการคลี่คลายของปมขัดแย้ง
  • มนุษย์ต้องการคำอธิบายเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทั้งปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและปรากฏการณ์ทางสังคม มนุษย์ไม่สามารถดำรงอยู่ได้หากไม่ได้รับคำอธิบายหรือคำตอบกับเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ความต้องการอันนี้ทำให้เกิดการเล่าเรื่อง การสร้างเรื่องเล่า นิทานอธิบายเหตุ นิทานอธิบายสภาพภูมิศาสตร์แปลก ๆ เช่น ภูเขาที่มีช่องกระจก เกาะทะลุ หอยมวนพลู รวมไปถึงตำนานอธิบายกำเนิดโลก กำเนิดมนุษย์ สัตว์ พืชต่าง ๆ ตำนานอธิบายฟ้า ดิน ภูเขาลำธาร ตำนานอธิบายที่มาของการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ
  • มนุษย์ชอบแสดงออก ต้องการความสนุกสนานและการผ่อนคลายทางอารมณ์ นี่จึงเป็นที่มาของการร้องเพลง การเล่นดนตรี การละเล่น การแสดง การฟ้อนรำ ละคร การชอบดูภาพยนตร์ การเล่นเกม การเล่นกีฬา; บทเพลงต่าง ๆ เช่น เพลงเกี้ยวพาราสี เครื่องดนตรีของกลุ่มชนชาติพันธุ์ทั้งหลายในโลก การแสดงพื้นบ้าน นาฏกรรมในราชสำนัก ละครเวที ละครร้อง ภาพยนตร์ประเภทต่าง ๆ เกมกีฬาประเภทต่าง ๆ ตลอดจนศิลปะต่าง ๆ ทั้งจิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม ล้วนเป็นผลผลิตที่สะท้อนความต้องการและความสามารถในการแสดงออกด้านต่าง ๆ ของมนุษย์
  • แต่.. มนุษย์ก็กลัวในสิ่งที่มองไม่เห็น กลัวสิ่งที่ไม่รู้ กลัวสิ่งที่ควบคุมไม่ได้; ในวัฒนธรรมมนุษย์จึงมีความเชื่อเรื่องผี เทวดา เทพเจ้า พระเจ้า มีความเชื่อว่ามีสิ่งเหนือธรรมชาติและพิธีกรรมที่จะบนบานต่อสิ่งเหนือธรรมชาติซึ่งแท้ที่จริงคือการต่อรองและความพยายามในการควบคุมอำนาจเหนือธรรมชาติ ทำให้เกิดคนทรง หมอผี หมอขวัญ หมอธรรม พระ หมอดู ฯลฯ
  • มนุษย์ในสังคมประเพณีให้คุณค่าและความสำคัญต่อความมั่นคงทางจิตใจ เช่น เมื่อใดที่มนุษย์มีความหวั่นใจว่าปีนี้ฝนจะตกต้องตามฤดูกาลหรือไม่ เมื่อใดที่มีความไม่มั่นใจว่าปีนี้ข้าวจะได้ผลดีหรือไม่  เมื่อใดที่มีความสงสัยว่าคนในครอบครัวไม่สบายเพราะอะไร เมื่อใดที่ต้องการความมั่นใจว่าจะมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ฯลฯ มนุษย์จะประกอบพิธีกรรมติดต่อสื่อสารกับเทวดาฟ้าดิน เทวดาอารักษ์ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ เพื่อให้มั่นใจว่าฝนจะตก ข้าวจะดี มีเทวดาคุ้มครอง  เราจึงมักจะพบว่ามีพิธีกรรมมากมายในสังคมประเพณี โดยเฉพาะในสังคมชนบท สังคมชาติพันธุ์ เพราะเป็นสังคมที่พึ่งอำนาจเหนือธรรมชาติและใช้พิธีกรรมเป็นที่พึ่งทางใจ ให้ใจสงบและเป็นสุข (มากกว่าจะมีความสุขเพราะมีทรัพย์สินเงินทองเช่นในสมัยนี้)

        ในข้อเขียนนี้ ผู้เขียนประสงค์จะนำเสนอให้ผู้อ่านที่เป็นคนทั่วไปได้เห็น “คุณค่าของนิทาน” ในฐานะที่เป็นข้อมูลทางมนุษยศาสตร์ประเภทหนึ่ง.  โดยทั่วไป คนเรามักมองว่านิทานเป็นเรื่องของจินตนาการที่เพ้อฝัน หาความจริงมิได้  แต่ผู้เขียนมองว่า นิทานประเภทต่างๆ สะท้อนให้เห็น “ความเป็นมนุษย์” ในแง่มุมต่าง ๆ ที่น่าสนใจ ทั้งความคิด จินตนาการ อารมณ์ความรู้สึก นิสัย ทัศนคติ โลกทัศน์ อันล้วนเป็น “ธรรมชาติ” ของ “มนุษยชาติ”

     ผู้เขียนขอนำเสนอความคิดเห็นจากการ “อ่านนิทาน” ที่นำไปสู่การ “อ่านมนุษย์” ใน ๖ เรื่องต่อไปนี้

        ๑. คติชนวิทยากับความเป็นมนุษย์

        ๒. จินตความคิด (อนุภาค) เกี่ยวกับกำเนิดจักรวาล กำเนิดโลกและกำเนิดมนุษย์

        ๓. “Us” and “the Others”: มนุษย์มอง “ตนเอง (พวกเรา)” และ “คนอื่น (พวกเขา)” อย่างไร

        ๔. จินตความคิดที่ก้าวพ้นข้อจำกัดทางกายภาพของมนุษย์

        ๕. มนุษย์อธิบายสภาพภูมิศาสตร์/ธรรมชาติที่แปลกๆ ด้วยเรื่องเล่า

        ๖. มนุษย์ใช้นิทานเป็นช่องทางในการระบายความคับข้องใจ

         ทั้งนี้จะขอเขียนแบบ “เล่าสู่กันฟัง” ไม่เป็นวิชาการมากนัก ดังนั้น จะไม่ใส่อ้างอิงไว้ในเนื้อหา แต่ผู้สนใจสามารถตามอ่านหนังสือเพิ่มเติมจากบรรณานุกรมได้

คติชนวิทยากับความเป็นมนุษย์

        วิชาคติชนวิทยา (Folklore) ซึ่งเป็นวิชาหนึ่งในสาขามนุษยศาสตร์ที่ศึกษามนุษย์ผ่านข้อมูลคติชนซึ่งเป็นผลผลิตจากความคิด จินตนาการ อารมณ์ และการแสดงออกของมนุษย์  นักคติชนจะศึกษาวัฒนธรรมส่วนที่เป็นศิลปะการแสดงออก (expressive art) ของมนุษย์ผ่านคติชนประเภทที่ใช้ถ้อยคำ (verbal folklore) เช่น นิทาน เพลง สุภาษิต ปริศนาคำทาย, คติชนที่เป็นการแสดง (performing folklore) เช่น การละเล่น การแสดง ดนตรี ละครพื้นบ้าน, คติชนที่เป็นวัตถุ (material folklore) เช่น ผ้าทอ เครื่องจักสานเครื่องมือเครื่องใช้พื้นบ้าน อาหารพื้นบ้าน และคติชนที่เป็นธรรมเนียมประเพณีปฏิบัติ (customary folklore) ครอบคลุมความเชื่อ ประเพณีพิธีกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรมเกี่ยวกับความอุดมสมบูรณ์ พิธีกรรมรักษาโรคแบบพื้นบ้าน พิธีกรรมตามปฏิทิน พิธีกรรมในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต ข้อมูลคติชนทั้ง ๔ ประเภทนี้จะทำให้เข้าใจทั้งความคิด อารมณ์ ปัญญา และความสามารถของมนุษย์ได้ในหลากหลายมิติ

        ในวิชาคติชนวิทยา คติชนแต่ละประเภทยังแยกออกเป็นประเภทย่อย ๆ (genre) อีกหลายประเภท เช่น คติชนที่ใช้ถ้อยคำที่เป็นนิทานพื้นบ้าน (folktale) ก็ยังแบ่งได้อีกเป็น ๑๐ ประเภทย่อย ได้แก่ ตำนานปรัมปรา (myth) นิทานประจำถิ่น (legend) นิทานมหัศจรรย์ (fairytale) นิทานมุขตลก (joke) นิทานอธิบายเหตุ (explanatory tale)  นิทานเรื่องโม้ (tall tale) นิทานลูกโซ่ (chain tale) นิทานเรื่องผี (ghost tale) นิทานเรื่องสัตว์ (animal tale) นิทานศาสนาสอนใจ (didactic tale)

        นิทานแต่ละประเภทดังกล่าวข้างต้นนี้จะมีลักษณะเฉพาะของเนื้อหา วิธีการเล่า และบทบาทหน้าที่ที่ต่างกัน ตัวอย่างเช่น myth เป็นเรื่องเล่าศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวกับตัวละครที่เป็นพระเจ้า เทพ เทวดา มีเนื้อหาเกี่ยวกับการอธิบายกำเนิดโลก กำเนิดมนุษย์ และเป็นเรื่องเล่าที่ใช้อธิบายที่มาของการประกอบพิธีกรรม เช่น ตำนานเรื่อง พญาคันคาก ใช้อธิบายที่มาของพิธีจุดบั้งไฟ, สำหรับ legend เป็นเรื่องเล่าที่สัมพันธ์กับ locality หรือท้องถิ่น เกี่ยวกับบุคคลหรือวีรบุรุษในท้องถิ่น มีเรื่องราวที่สัมพันธ์กับท้องถิ่นใดท้องถิ่นหนึ่ง หรือใช้อธิบายที่มาของสถานที่ในท้องถิ่น เช่น นิทานเรื่อง ผาแดง-นางไอ่ ใช้อธิบายหนองหารซึ่งเป็นน้ำขนาดใหญ่ว่าเป็นเพราะมีเมืองล่มอยู่เบื้องล่างหนองน้ำ.

        ส่วน fairytale เป็นเรื่องการผจญภัยของตัวละครประเภทเจ้าหญิงเจ้าชายที่มักมีผู้ช่วยหรือของวิเศษ พระเอกต้องต่อสู้กับพันธกิจบางประการ ท้ายที่สุดได้แต่งงานกับนางเอก เป็นเรื่องเล่าเพื่อความสนุกสนาน เต็มไปด้วยจินตนาการถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในชีวิตจริง. อนึ่ง ตัวละครในเรื่องมักเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งของบุคคลในครอบครัว เช่น พ่อ-ลูกชาย, แม่-ลูกสาว, แม่เลี้ยง-ลูกเลี้ยง, เมียหลวง-เมียน้อย, พ่อตา-ลูกเขย, แม่สามี-ลูกสะใภ้ ฯลฯ คู่ขัดแย้งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับความขัดแย้งในครอบครัวในชีวิตจริงในสังคมวัฒนธรรมต่าง ๆ ในโลก. Fairytale มักหยิบยื่น “ทางออก” ที่ตอบสนองความปรารถนาทางใจให้กับคู่ขัดแย้งในครอบครัวในชีวิตจริง

        สำหรับ joke เป็นเรื่องเล่าตลกขำขันเพราะตัวละครมีพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนไปจากมาตรฐานพฤติกรรมทางสังคมบางประการ เช่น คนพิการ คนโง่-คนฉลาด หรือ เป็นเรื่องตลกเพราะได้ยั่วล้อบรรทัดฐานทางสังคมบางประการ เรื่องใดที่สังคม “ห้าม” เรื่องเหล่านั้นมักเป็นเนื้อหาของ joke เช่น นิทานมุขตลกเกี่ยวกับ “พี่เขย-น้องเมีย” หรือ “ตาเถร-ยายชี” หรือนิทาน “ศรีธนญชัย” ที่ตัวเอกสามารถทำให้ “ผู้ปกครอง” เสียหน้าหรือได้อาย. นิทานเรื่อง joke จึงมีบทบาทหน้าที่เป็นทางออกทางจิตใจให้กับผู้คนในสังคมที่ต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่เคร่งครัดบางประการ

        ในระยะแรกเริ่มของการมีวิชาคติชนวิทยา ประมาณต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ นักคติชนได้รวบรวมนิทานจากแหล่งต่าง ๆ ในโลก เช่น ยุโรป (สแกนดิเนเวีย รัสเซีย สเปน กรีก อังกฤษ ฝรั่งเศส ฯลฯ) อินเดีย อเมริกันอินเดียนแดง ฮาวาย จีน เกาหลี อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ อัฟริกา ฯลฯ   ต่อมาได้พยายามแยกตัวบทนิทานแต่ละเรื่องจากแหล่งกำเนิดนิทานต่าง ๆ ทั่วโลกออกเป็นหน่วยย่อยที่สุดที่นักคติชนเรียกว่า อนุภาค (motif) แล้วจัดหมวดหมู่อนุภาคที่เป็นจินตความคิดสากลของมนุษย์ได้เป็น ๒๖ หมวด ตั้งแต่หมวด A-Z เช่น หมวด A เกี่ยวกับปกรณัมปรัมปรา (mythological motifs) หมวด B สัตว์ (Animals)  หมวด C ข้อห้าม (Tabu) หมวด D ความวิเศษ (Magic) หมวด H การทดสอบ (Tests) หมวด K การหลอกลวง (Deceptions) หมวด Q รางวัลและการลงโทษ (Rewards and Punishments) หมวด T เพศ (Sex – ความรัก การแต่งงาน การเกิด) เป็นต้น แล้วจัดพิมพ์เป็นหนังสือชุด Motif-Index of Folk Literature (ดัชนีอนุภาคนิทานพื้นบ้าน) มี ๖ เล่ม. จึงอาจกล่าวได้ว่าหนังสือชุดนี้เป็น “ขุมทรัพย์แห่งจินตความคิดของมนุษยชาติ” ที่น่าศึกษาอย่างยิ่ง.

        จินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ และงานสร้างสรรค์จากจินตนาการ เป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์ทั่วไป.  จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ไม่ได้มีอยู่เฉพาะในหัวของคนที่เป็น “นักประดิษฐ์” เท่านั้น แต่มีอยู่ในหัวของมนุษย์ชาติทุกคน.

        ในหัวข้อต่อ ๆ ไป ผู้เขียนจะนำเสนอให้เห็น “ลักษณะร่วม” ของมนุษยชาติในหลากหลายแง่มุมของ “ความเป็นมนุษย์”   โดยจะวิเคราะห์ผ่านตัวบทนิทานหลากหลายประเภทที่พบอย่างเป็นสากลในคลังเรื่องเล่าของกลุ่มชนต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งนิทานแต่ละประเภท เช่น ตำนานปรัมปรา นิทานมหัศจรรย์ นิทานประจำถิ่น นิทานมุขตลก ฯลฯ จะสะท้อน “ความเป็นมนุษย์” ในแง่มุมที่ต่างกัน.

จินตความคิด (อนุภาค)[3]เกี่ยวกับกำเนิดจักรวาล กำเนิดโลกและกำเนิดมนุษย์

         เรื่องของจักรวาล กำเนิดโลก กำเนิดมนุษย์เป็นประเด็นที่พูดกันในแวดวงวิทยาศาสตร์ แต่ที่น่าสนใจก็คือ เรื่องเหล่านี้ก็มีปรากฏในแวดวงมนุษยศาสตร์โดยเฉพาะจากข้อมูลคติชนประเภทตำนานปรัมปราของมนุษยชาติทั่วโลกอย่างเป็นสากลด้วย ดังนั้น เราจึงควรใส่ใจศึกษาจินตความคิดในตำนานที่ว่าด้วยจักรวาล กำเนิดโลก กำเนิดมนุษย์ ผู้สร้างโลก สวรรค์ ฟ้า-ดิน น้ำท่วมโลก ไฟล้างโลก ฯลฯ เพื่อศึกษาเปรียบเทียบกับคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ในเรื่องทำนองเดียวกัน.  ในหัวข้อนี้ จะขอยกตัวอย่างจาก ดัชนีอนุภาคนิทานพื้นบ้าน หมวด A ที่เกี่ยวกับตำนานปรัมปราเป็นหลัก.

         ในหมวด A มีหมวดย่อยที่สะท้อนความคิดมนุษย์เกี่ยวกับ จักรวาล (A600 Universe) ตำนานของบางกลุ่มชนเล่าว่าจักรวาลสร้างขึ้นใน ๖ วัน (ฮาวาย) บางกลุ่มชนเชื่อว่าจักรวาลเกิดจากไฟและหมอก (ไอซ์แลนด์) หลายกลุ่มเชื่อว่าจักรวาลเกิดจากไข่ (Cosmic Egg) (ฟินแลนด์ เอสธัวเนีย กรีก อินเดีย ฮาวาย เมารี) และจากไข่จักรวาลเกิดเป็น heaven and earth (กรีก อินโดนีเซีย) ครึ่งบนของไข่กลายเป็นสวรรค์และฟ้า ครึ่งล่างเป็นโลกและแผ่นดิน นอกจากนั้น ตำนานหลายแห่งพูดถึงจำนวนของสวรรค์ บางแห่งเชื่อว่าสวรรค์มี ๙ ชั้น (อินเดีย) ๘ ชั้น (ซามัว) ๗ ชั้น (ไอริช อินเดีย สุมาตรา) ๓ ชั้น (ไอซแลนด์ ฮาวาย เมารี อินเดียนแดง)

         มีจินตความคิดของคนโบราณที่น่าสนใจอันหนึ่งที่เชื่ออย่างเป็นสากลว่า ฟ้าและดินเคยอยู่ติดกัน (A 625.2)  แต่ต่อมาแยกจากกัน (ความคิดนี้พบในตำนานทั่วโลก เช่น ตำนานของอียิปต์ บาบิโลเนีย มองโกเลีย ไซบีเรีย อินเดีย จีน ลาว ไมโครนีเซีย โพลีนีเซีย  ซามัว ฮาวาย เมารี ฟิลิปปินส์ อัฟริกา).  ตำนาน “ปู่เยอ-ย่าเยอ” ของลาวหลวงพระบางเล่าว่า แต่ก่อนโลกมืดมิดเพราะฟ้าและดินอยู่ติดกัน ถูกพันไว้ด้วยเครือเขากาด ปู่เยอย่าเยออาสาปีนขึ้นไปตัดเครือเขากาดจนตัวตาย ฟ้าและดินจึงแยกจากกัน โลกจึงบังเกิดแสงสว่าง. คนไทดำในเวียดนามก็เล่าไว้ใน “ความโทเมือง” ซึ่งเป็นตำนานโบราณว่า แต่ก่อนฟ้าและดินอยู่ใกล้กันมาก เวลาเอาสากตำข้าว สากยังกระทุ้งไปถึงชั้นฟ้า หรือเวลาวัวลุกขึ้นยืน โหนกบนหลังวัวยังชนฟ้า!.  ทำไมคนโบราณหลายกลุ่มชนจึงมีความเชื่อเรื่องนี้และเล่าไว้ตรงกันในตำนานเช่นนี้? นี่จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจที่มนุษย์ในปัจจุบันต้องนำไปขบคิดต่อ.

ปู่เยอ-ย่าเยอ ในงานปีใหม่(สงกรานต์)เมืองหลวงพระบาง ที่มา : http://www.isan.clubs.chula.ac.th/simboard/post_view.php?room_no=0&id_main=821&star=170&pg=18

         นักวิทยาศาสตร์อธิบายกำเนิดกาแลกซีและดาวนพเคราะห์ในสุริยจักรวาลว่ามาจากปรากฏการณ์บิกแบงหรือหลุมดำ (แต่ก็ต้องนับว่าเป็นคำอธิบายที่เป็นการคาดคะเน)  ครั้นกลับไปดูในข้อมูลประเภทตำนานปรัมปราบ้าง พบว่า มนุษย์ในสังคมวัฒนธรรมต่าง ๆ ทั่วโลกมีจินตความคิดว่าโลกเรานี้ มีผู้สร้าง (A0 Creator) แต่จินตความคิดว่า “ใครเป็นผู้สร้างโลก” อาจหลากหลายแตกต่างกันไป เช่นคิดว่าผู้สร้างโลกคือ พระอาทิตย์ (อียิปต์) พระพรหม (อินเดีย) นก (ฮาวาย) เหยี่ยว (อินเดียนแดง) นกปีกดำ (กรีก) แมงมุม (อินเดีย) แมงเต่าทอง (อินเดียนแดง) หนอน (อินเดียนแดง) ช่างปั้นหม้อ (อินเดีย) เป็นต้น.  ดังนั้น โลกของเราในความคิดของคนโบราณจึงมักเชื่อว่า “มีผู้สร้าง” ไม่ได้เกิดจากปรากฏการณ์บิกแบงหรือหลุมดำอย่างที่นักวิทยาศาสตร์อธิบาย และน่าสนใจว่า ผู้สร้างโลกไม่ได้มีแต่พระเจ้าที่สูงส่งดังปรากฏในศาสนาหลักของโลก แต่สัตว์เล็กสัตว์น้อย เช่น แมงมุม แมงเต่าทอง หรือแม้แต่หนอน ก็เป็นผู้สร้างโลกได้!

         จินตความคิดเรื่อง “มนุษย์เกิดจากอะไร” (A1200) ก็เป็นอีกคำถามหนึ่งที่มนุษย์โบราณพยายามจะตอบ. แน่นอนไม่ใช่คำอธิบายอย่างทางวิทยาศาสตร์ที่ว่าเกิดจากการปฏิสนธิระหว่างสเปิร์มของผู้ชายกับไข่ของผู้หญิง แต่คำตอบว่า “มนุษย์เกิดจากอะไร” ก็มีหลากหลาย เช่น เกิดจากเหงื่อของพระเจ้า (ลิธัวเนีย) เกิดจากตาของพระเจ้า (อียิปต์) เกิดจากหนอน (อินโดนีเซีย อัฟริกา อินเดียนแดง) เกิดจากวัว (อินเดีย) เกิดจากลิง (จีน) เกิดจากลูกอ๊อด ( ชนเผ่าว้าในจีน) เกิดจากปลา (อินเดียนแดง) เกิดจาดมด (กรีก) เกิดจากฟ้า (อินเดีย นิวกีนี อินโดนีเซีย เอสกิโม อินคา) เกิดจากน้ำเต้า (ลาว)  เกิดจากดิน (ไอริช อินเดีย บาบิโลเนียน จีน โพลีเนเชียน ฮาวาย เอสกิโม) เกิดจากมะเดื่อ (อินเดียนแดงในอเมริกาใต้) เกิดจากแอปเปิล (จีน).

         เราจึงได้เห็นความหลากหลายของจินตความคิดที่อธิบายว่า “มนุษย์เกิดจากอะไร” ซึ่งคำตอบสะท้อนให้เห็นว่ามีทั้งมาจากพระเจ้า ฟากฟ้า สัตว์และพืช ซึ่งก็สะท้อนความคิดของมนุษย์โบราณที่ไม่ได้แบ่งแยกระหว่างธรรมชาติ สัตว์ และพืชกับมนุษย์.

         ในตำนานของกลุ่มชาติพันธุ์ในอุษาคเนย์หลายกลุ่มเชื่อว่า “มนุษย์เกิดจากน้ำเต้า” ตำนานกำเนิดมนุษย์ของคนลาว เล่าว่า มนุษย์เกิดจากการที่แถนหรือเทวดาเอาเหล็กหรือสิ่วไปแทงน้ำเต้า ทำให้มีคนหลายกลุ่มออกมาจากน้ำเต้า ครั้งแรกมีคนข่า ขมุ ออกมา และครั้งที่ ๒ มีคนลาวลุ่ม ไทลื้อ ไทดำ ไทขาว ฯลฯ ออกมา   ในแง่นี้ ชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในสังคมลาวจึงต้องถือว่า “เป็นพี่น้องกัน” เพราะออกมาจากน้ำเต้าลูกเดียวกัน  ส่วนตำนานสร้างมนุษย์ของคนไทดำเล่าว่า แถนเอาน้ำเต้ามาให้ยังโลกมนุษย์ ในน้ำเต้ามี ๓๓๐ แบบตัวคน ๓๓๐ แบบตัวปลา ๓๓๐ แบบ (พันธุ์) ข้าว (อันเป็นอุดมคติของคนไท – กินข้าว กินปลา)

         อนึ่ง คำอธิบายว่า “มนุษย์เกิดจากดิน” ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ ทำไมมนุษย์ในหลายวัฒนธรรมจึงคิดว่ามนุษย์เกิดจากดิน?   ตำนานกำเนิดมนุษย์ของชนชาติไทหลายกลุ่ม เช่น ไทลื้อ ไทยวน ก็เล่าว่า ปู่แถน-ย่าแถน (หรือปู่สางสี-ย่าสางไส้, ปู่สังกะสา-ย่าสังกะสี) เอาดินมาปั้นเป็นมนุษย์ผู้ชายมนุษย์ผู้หญิงแล้วเสกชีวิตให้รูปปั้นนั้น  ต่อมามนุษย์ชาย-หญิงคู่นั้นให้กำเนิดลูก ๑๒ คน ปู่แถน-ย่าแถนก็เอาดินมาปั้นเป็นรูปสัตว์ ๑๒ ตัว ปั้นหนูให้ลูกหลานคนโตเล่น ปั้นวัวให้คนที่ ๒ เล่น ปั้นเสือให้คนที่ ๓ เล่น ปั้นกระต่ายให้คนที่ ๔ เล่น ฯลฯ ซึ่งก็คือตำนานปีนักษัตรด้วย (และในแง่นี้ สัตว์ในปีนักษัตรก็เกิดจากดินเช่นกัน)

         โคลด เลวี่-สเตราส์ นักมานุษยวิทยาคนสำคัญ ก็เคยวิเคราะห์ตำนานอิดิพุสของกรีกว่า ปมขัดแย้งในตำนานเรื่องนี้มาจากความสงสัยของมนุษย์ที่ว่า “มนุษย์เกิดจากดิน หรือ เกิดจากพ่อแม่” ดังนั้น ข้อมูลตำนานปรัมปราของมนุษย์โบราณจึงแฝงร่องรอยความคิดเรื่อง “มนุษย์เกิดจากดิน” เอาไว้ (อาจเพราะเห็นว่า เวลาตายก็ฝังลงดิน?)

โคลด เลวี่-สเตราส์ (Claude Lévi-Strauss) ที่มา : https://www.bbc.co.uk/programmes/b01sjjxl

         จินตความคิดของมนุษย์เกี่ยวกับจักรวาลและกำเนิดจักรวาล กำเนิดโลก กำเนิดมนุษย์ สะท้อนว่ามนุษย์ใส่ใจ สงสัย และอธิบายธรรมชาติรอบตัวผ่านเรื่องเล่า ดังนั้น ตำนานจึงเป็นข้อมูลคติชนและเป็นข้อมูลทางมนุษยศาสตร์ที่ทำให้เราสามารถศึกษาความรู้สึกคิดนึก และจินตนาการของมนุษย์โบราณ.   ในแง่นี้ ตำนานจึงเป็นข้อมูลที่มีคุณค่าเพราะสามารถใช้ “ถอดรหัส” ความคิดของมนุษย์ที่เป็นบรรพบุรุษของเราในปัจจุบัน เช่นเดียวกับที่นักวิทยาศาสตร์ นักโบราณคดีศึกษาโครงกระดูกของมนุษย์โบราณ ไดโนเสาร์ ชั้นหิน ชั้นดิน ฯลฯ เพื่อบอกอายุของโลกและสรรพสิ่งในโลกของเรา

         น่าสนใจว่าจินตความคิดเรื่อง น้ำท่วมโลก (A1010)  ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ปรากฏตรงกันในตำนานปรัมปราทั่วโลก. ความเชื่อนี้มีปรากฏในตำนานของกรีก อียิปต์ มายา อินเดียนแดงหลายเผ่า อินเดีย จีน เกาหลี อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เมลานีเซีย เอสกิโม  ไซบีเรีย เป็นต้น และรวมทั้งจินตความคิดเรื่อง ไฟล้างโลก (A 1030) ด้วย ซึ่งก็พบในตำนานของสังคมโบราณและสังคมชนเผ่าอย่างหลากหลาย เช่น ในตำนานของอินเดีย กรีก ลิธัวเนีย บาบิโลเนีย อัสสีเรีย จีน ไซบีเรีย เมารี อินเดียนแดง เป็นต้น

         ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติจะเคยมี น้ำท่วมโลก และ ไฟบัลลัยกัลป์  เกิดขึ้นจริงหรือไม่ ก็ยากจะยืนยัน จินตความคิดที่พบอย่างเป็นสากลในหลายพื้นที่ในโลก (ซึ่งเชื่อว่าไม่ได้หยิบยืมความคิดกัน แต่เป็น “การคิดตรงกัน” มากกว่า) นั้นเป็นเรื่องน่าสนใจ เพราะ (๑) อาจเป็นปรากฏการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริง และมนุษย์ในสังคมต่าง ๆ ทั่วโลกเล่าสืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่นตามวิถีการถ่ายทอดโดยมุขปาฐะ ตำนานเรื่องน้ำท่วมโลกและตำนานเรื่องไฟล้างโลกจึงเป็น “หลักฐานมุขปาฐะ” ที่บันทึกปรากฏการณ์ดังกล่าว. ทุกวันนี้เราก็พูดกันถึงเรื่องน้ำจะท่วมโลก ท่วมหลายประเทศ ท่วมเมืองเช่นกรุงเทพฯ หรือหลายจังหวัดในภาคกลาง ในแง่นี้ ปรากฏการณ์น้ำท่วมโลกก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในอดีต หรือ (๒) อาจไม่ได้เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริง แต่มนุษย์ในต่างวัฒนธรรม “คิดเหมือนกัน” ถามต่อว่า “คิดเหมือนกันเรื่องอะไร” ตอบว่า คิดเหมือนกันเรื่องต้องใช้ “น้ำล้างโลก” หรือ “ไฟล้างโลก” เพื่อเป็นการ “set zero” เพื่อต้องการให้โลกเริ่มต้นใหม่ (re-creation) ถามต่อว่า “เริ่มต้นใหม่จากอะไร? จากสภาวะที่มนุษย์ไร้ศีลธรรมจนเกินเยียวยาถึงขั้นต้อง “ล้าง” หรือ “ล้ม” เพื่อ “เริ่มใหม่” ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ก็สรุปได้ว่า (๓) ในอดีต หรือในปัจจุบัน มนุษยชาติก็มี “วิธีคิดที่ไม่ต่างกัน” เพราะในยุคสมัยใดที่มีผู้คนประพฤติผิดศีลธรรมมาก ๆ ก็อธิบายว่าโลกกำลังเข้าสู่ “กลียุค” และท้ายที่สุดยุคสมัยนั้นก็ดับสูญได้ดังที่พุทธศาสนาก็พูดถึงกัปป์ต่าง ๆ ที่จบลงเพราะผู้คนไร้ศีลธรรม จะท่องคาถาภาษาบาลีไม่ได้สักคำ ใน พ.ศ. ๕๐๐๐ ต้องรอพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปมาประกาศธรรมเริ่มศาสนากันใหม่ คือ เริ่มยุคพระศรีอาริย์ หรือเริ่มยุคพุทธกัปป์ใหม่

เรือโนอาห์, saint étienne du mont, Paris, France ที่มา : WikimediaImages on Pixabay.com

         ในหมวด A (A0-A2899) (ซึ่งหมายถึงว่า มีจินตความคิดของมนุษย์อยู่ถึง ๒,๘๙๙ เรื่อง) ยังมีจินตความคิดที่น่าสนใจอีกมากมายหลายเรื่อง เช่น เรื่องราวของเทพเจ้าองค์ต่าง ๆ ตำนานอธิบายกำเนิดดวงจันทร์ ดวงดาวต่าง ๆ, ตำนานอธิบายกำเนิดสภาพภูมิศาสตร์ทั้งหลาย เช่น กำเนิดทะเล ภูเขา แม่น้ำลำธาร, ตำนานอธิบายกำเนิดสัตว์ประเภทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกำเนิดสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม นก แมลง ปลา หอย,  ตำนานที่อธิบายลักษณะต่าง ๆ ของสัตว์และพืช รวมไปถึงตำนานที่อธิบายว่า “ทำไม” สัตว์แต่ละชนิดจึงมีสี มี ขน และมีลักษณะทางกายภาพเช่นนั้น เช่น ทำไมไคโยตี้จึงมีตาสีเหลือง ทำไมทากจึงตาบอด ทำไมจระเข้ไม่มีลิ้น ทำไมวอลรัสจึงมีเขี้ยวเป็นงา ทำไมกบไม่มีฟัน ตลอดจนนิสัยสัตว์ต่าง ๆ เช่น ทำไมสัตว์บางคู่ไม่ถูกกัน เช่น ทำไมหนูไม่ถูกกับแมว ฯลฯ

         หมวด A จึงเป็นหมวดที่รวมจินตความคิดของมนุษย์เกี่ยวกับโลกและธรรมชาติที่อยู่รอบตัวมนุษย์  ไม่ว่าจะเป็นสภาพภูมิศาสตร์ ทะเล ภูเขา ลำเนาไพร สัตว์ พืชต่าง ๆ รวมไปถึงสิ่งที่อยู่ “นอกโลก” เช่น ดวงจันทร์ ดวงดาวต่าง ๆ และ สิ่งที่อยู่ “เหนือโลก” คือ ผู้สร้าง พระเจ้า เทพเจ้า  ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นจินตความคิดที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นโดยการผูกเป็นเรื่องเล่าที่มีลักษณะเป็นตำนานปรัมปรา

         กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า มนุษย์อธิบายโลกธรรมชาติและสรรพสิ่งรอบตัวมนุษย์ด้วยเรื่องเล่า/ตำนานปรัมปรา ซึ่งแม้ตำนานปรัมปราจะเล่าเป็นภาษาสัญลักษณ์ที่ต้องใช้จินตนาการและต้องผ่านการตีความ ไม่ใช่ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ แต่ก็ต้องนับว่าเป็นผลผลิตจากจินตความคิด  โลกทัศน์ ข้อสังเกตเกี่ยวกับธรรมชาติ ซึ่งล้วนสะท้อนแง่มุม “ความเป็นมนุษย์” ทั้งสิ้น.

หมายเหตุ

[1] ข้อเขียนนี้ ข้าพเจ้าเขียนให้เนื่องในโอกาสการเปิดตัวเว็บไซต์ https://www.arts.chula.ac.th/folklore/ ของ ศูนย์คติชนวิทยา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

[2] ศาสตราจารย์กิตติคุณ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

[3] ในข้อเขียนนี้ จะใช้คำว่า “จินตความคิด” แทนคำว่า “อนุภาค” หรืออาจใช้แทนกัน ในความหมายเดียวกัน ซึ่งหมายถึง ความคิดหรือจินตนาการของมนุษย์เรื่องใดเรื่องหนึ่ง

ภาพเปิดเรื่องโดย Victoria Priessnitz จาก unsplash.com

ผู้เขียน
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.ศิราพร ณ ถลาง
คณะอักษรศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย