Special Interview: ว่าด้วยเรื่อง “เพศ” และ LGBTQIA+ #Pride

Share on facebook
Facebook
Share on twitter
Twitter

ถึงแม้ว่าเดือนที่เป็นสัญลักษณ์ของ Pride Month จะสิ้นสุดลง แต่การแสดงออกซึ่งการเป็นกลุ่มคน LGBTQIA+ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในเดือนเดียวเท่านั้น พวกเรา ก.อศ. ขอพาทุกคนไปพบกับบทสัมภาษณ์พิเศษจากอาจารย์ ดร. ภรณี สิงห์เปลี่ยม อาจารย์จากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยปัจจุบันเป็นผู้สอนรายวิชา Introduction to Gender Studies ให้แก่นิสิตหลักสูตรนานาชาติ (BALAC)

Q1: Introduction to Gender Studies เรียนเกี่ยวกับอะไร?

 

รายวิชา Introduction to Gender Studies เป็นรายวิชาในหลักสูตร BALAC ที่ศึกษาแนวคิดและทฤษฎีด้านเพศสภาพ ภาพลักษณ์และการนำเสนอภาพของเพศสถานะในวรรณกรรม ภาพยนตร์ ดนตรี และสื่อ รวมถึงการวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ การนำเสนอภาพแทนทางวัฒนธรรม

 

การศึกษาจะมุ่งเน้นไปที่การบรรยาย non-hegemonic discourse หรือ ideology และสอนให้มองเห็นความสัมพันธ์ของเพศและอำนาจ รวมไปถึงสอนให้มองเห็นถึงความแตกต่าง ความหลากหลาย และกระบวนการที่ความหลากหลายทางเพศเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการทางสังคม (social arrangement) และเมื่อเพศถูกกำหนดโดยปัจจัยสังคมอย่าง institutionalization เช่น ศาสนา การศึกษา กองทัพ เราในฐานะผู้สอนและคนรุ่นใหม่จะมองเห็นปัญหาและความท้าทายเหล่านี้อย่างไร

 

Q2: “เพศ” (Gender) คืออะไร?

 

โดยส่วนมากคำว่า “เพศ” ในภาษาไทยนั้น จะรวมเพศกำเนิด (biological sex) เพศสภาพ (gender) และเพศวิถี (sexuality) เข้าไว้ด้วยกัน เช่น เวลาพูดถึง ผู้ชาย ผู้หญิง โดยมากจะคาดเดาไว้ก่อน อย่างคำว่าผู้ชายนั้นจะกล่าวถึงผู้ที่มีเพศกำเนิดคือเพศชาย เพศสภาพคือผู้ชาย และมีเพศวิถีแบบชอบเพศตรงข้าม

 

คำว่า “เพศ” นั้นมาถูกแยกให้เป็น เพศกำเนิด เพศสภาพ และเพศวิถี
ด้วยอิทธิพลจากตะวันตก ทำให้การนิยามเพศในทุกวันนี้ถูกจำแนกไปเป็น
เพศสภาพ เพศวิถี ฯลฯ ซึ่งเป็นการชี้ให้เห็นถึงความหลากหลายในการะบุตัวตน (self-identification) มากขึ้น

Q3: เพศ (Gender) สำคัญกับการกำหนดบทบาทในสังคมมากแค่ไหน?

 

เพศสำคัญอย่างมากในการกำหนดบทบาทในสังคม และจะสำคัญยิ่งขึ้นเมื่อไปรวมกับปัจจัยสังคมอื่น ๆ เช่น ศาสนา ชนชั้น การศึกษา สีผิว ฯลฯ

 

Connell (2002) นั้นเสนอให้เราไม่ได้มองเพศเป็นเพียงเรื่องพื้นฐานของปัจเจกบุคคล ซึ่งมองผ่านมุมมองของเพศชายและหญิงเท่านั้น แต่เพศยังเชื่อมโยงกับปัจจัยอื่นในสังคมดังตัวอย่างข้างต้นอีกด้วย ซึ่งเห็นได้ชัดในชีวิตประจำวัน เช่น สถานศึกษา ศาสนสถาน สถานที่ทำงาน

 

“Gender is, above all, a matter of the social relations within which individuals and groups act. Enduring or widespread patterns among social relations are what social theory calls ‘structures’. In this sense, gender must be understood as a social structure. It is not an expression of biology, nor a fixed dichotomy in human life or character. It is a pattern in our social arrangements, and in the everyday activities or practices which those arrangements govern.” (Connell 2002)

 

ดังนั้นเราจึงกล่าวได้ว่า Genders permeate into every facet of our lives.

 

Q4: การกำหนดตัวตน (identity) จากเพศกำเนิด สมควรหรือไม่?

 

ส่วนตัวเราคิดว่าไม่สมควรเลยค่ะ การระบุตัวตนด้วยเพศ (sexed identity) นั้นจะทำให้สร้างข้อจำกัดบางประการว่าเราสามารถทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้ อะไรควรทำ อะไรไม่สมควรทำ ตัวอย่างการกำหนดตัวตนด้วยเพศกำเนิดพบได้ในการเกณฑ์ทหารที่นับเฉพาะคนที่มีคำนำหน้าชื่อว่า “นาย” โดยไม่สนใจเพศวิถีเลยค่ะ

Q5: การใช้คำว่า “กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ” ส่งผลดีอย่างไร?

 

การเกิดคำศัพท์ใหม่ที่ใช้แทนการแสดงออกทางเพศ (sexual orientation) การระบุเพศ (gender identity) และลักษณะทางเพศ (sex characteristics) สื่อให้เห็นถึงความหลากหลายที่เพศกระแสหลักอย่างชายและหญิงไม่สามารถควบคุมได้

 

การใช้คำว่า “ผู้มีความหลากหลายทางเพศ” นั้นสื่อถึงความหลากหลายที่ก่อให้เกิดสิ่งใหม่ และยังสามารถลดคุณค่าของอุดมการณ์ที่เพศหนึ่งอยู่เหนือกว่า (the hegemonic gender ideology) ในสังคมเราได้

Q6: LGBTQIA+ ควรจะได้รับสิทธิพื้นฐานเช่นเดียวกับเพศชายและหญิงหรือไม่?

 

เราเห็นด้วยอย่างยิ่งว่ากลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศควรได้รับสิทธิพื้นฐานเฉกเช่นเดียวกับเพศหญิงและเพศชายค่ะ

 

สิ่งที่ทำให้ฉุกคิดคือ แล้วทำอย่างไร?

 

ประการแรกคือการศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลที่ใหม่และตอบโจทย์กับความหลากหลายและมุมมองที่เป็นอยู่ในสังคมปัจจุบันนี้ ถึงจะใช้เวลา แต่การศึกษาทำให้ขยายมุมมองความเชื่อและความเข้าใจของเราได้

 

ประการที่สองที่ท้าทายเป็นอย่างมากคือเพศของการปกครอง (gender of governance) และการปกครองของเพศ (governance of gender) หากเราพูดถึงเรื่องสิทธิ เราต้องช่วยผลักดันให้คนตระหนักถึงความหลากหลาย และคนที่ยอมรับในอุดมการณ์ของเพศกระแสหลัก (mainstream gender) อย่างชายและหญิงนั้นจะส่งผลกระทบทางลบต่อเพศกลุ่มน้อย (gender and sexual minorities) มากกว่าผลทางบวก ประเด็นที่ว่าใครจะได้มีสิทธิ มีอำนาจไปร่างกฎหมาย ฯลฯ เป็นสิ่งที่ท้าทาย

Q7: LGBTQIA+ คือการเบี่ยงเบนทางเพศหรือความผิดปกติหรือไม่?

 

ส่วนตัวแล้วกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศนั้นไม่ถือว่า “เบี่ยงเบนทางเพศ” หรือ มี “ความผิดปกติ” หากแต่สังคมไทยถูกหล่อหลอมมาด้วยอุดมการณ์ของเพศกระแสหลักที่มองว่ามี 2 เพศกำเนิด 2 เพศสภาพ 1 เพศวิถี ที่ปกครองและกำหนดการดำเนินชีวิตเราอยู่ทุกวันนี้ ซึ่งเห็นได้ชัดจากกฎหมายสมรส มุมมองจากศาสนา ฯลฯ ถ้าเราสามารถสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับคติความเชื่อในเรื่องเพศว่าเพศสามารถเป็นพหูพจน์หรือมีมากกว่า 1 เพศได้ เราจะยอมรับความหลากหลายทางเพศกันได้มากกว่านี้

 

สุดท้ายนี้ ขอยืนยันคำเดิมว่า “ไม่ว่าคุณจะนิยามตนเองอย่างไร จงภูมิใจในความเป็นตัวตนของคุณ” #Pride