ไทยา (Tai-Ya)
ชื่อที่คนอื่นใช้เรียก: ไทยา
แหล่งที่อยู่อาศัย: ไทยาเป็นกลุ่มไทกลุ่มหนึ่งในท้องถิ่นหยวนเจียง เป็นชนไทเผ่าที่กระจายมากพอสมควร ในหยวนเจียงกลุ่มไทยามีความกระจัดกระจาย และเข้ารวมอยู่กับกลุ่มไทอื่นๆ มากกว่ากลุ่มอื่น สังเกตได้จากการเก็บข้อมูลว่า พบไทยาอยู่ในหมู่บ้านไทดำ และไทจุง หมู่บ้านที่ไทยาอยู่หนาแน่นมี 4 หมู่บ้าน คือ บ้านหัวผา หรือออกเสียงว่า ว่านโหผา บ้านเชิงเขา หรือออกเสียงว่า บ้านใหม่ หรือออกเสียงว่า บ้านเหมอ และบ้านหางร่องหรือออกเสียงว่า
แหล่งเก็บข้อมูล: หมู่บ้าน Gaukang ในท้องถิ่นปกครองตนเองหยวนเจียง – ฮาหนี – หยี – ไท ( Yuanjiang Hani- Yi- Dai Autonomous County) ในเขตอู้ซี (Yuxi Prefecture) มณฑลยูนนาน (Yunnan Province) ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน
ลักษณะบ้าน: (เรือนที่อยู่) ที่ไปนั่งเก็บข้อมูลเป็นบ้านผู้ใหญ่บ้าน ก่ออิฐทำด้วยดิน ข้างล่างเป็นโถงเข้าไป มีห้องนอนข้างๆ เป็นแถวขนาบหัวโถงอยู่ ไม่มีที่บูชาอะไรให้เห็นแบบไทดำ แต่สอบถามได้ความว่านักบถือบรรพบุรุษเช่นกัน คนไทยาที่บ้านนี้บอกว่าอพยพมาจากเมืองหยา ในซินผิง มากกว่า 100 ปีแล้ว
เครื่องแต่งกาย: การแต่งกายของหนุ่มสาวเป็นแบบสากล คนสูงอายุผู้หญิงแต่งกาย ประจำเผ่า ส่วนผู้ชายใส่แบบสากล สำหรับชุดแต่งกายแบบไทยาโดยเฉพาะของหญิงสาวนั้นตกแต่งด้วยเครื่องประดับที่ ทำด้วยตะกั่วหรืออะลูมิเนียมอย่างมาก แต่หญิงสาวบางคนประดับตนด้วยเงินแท้ มีกำไลมือเป็นสำคัญ ของเงินแท้เหล่านี้ตกทอดกันมา และน่าสังเกตว่าไทยาเป็นกลุ่มที่เก็บเครื่องประดับไว้ได้มากที่สุด (ไม่ถูกยึดไปโดยคอมมิวนิสต์) ชุดแต่งกายของหญิงไทยามีความแตกต่างกันเล็กน้อยระหว่างหญิงสาวกับหญิงสูง อายุ ความต่างอยู่ที่เครื่องประดับ ซึ่งหญิงสาวจะประดับประดามากทั้งการปักเม็ดอะลูมิเนียมลงไปที่เสื้อ หรือ การแขวนสร้อยที่สายเป็นพวงๆ เวลาเดินเกิดเสียงโลหะกระทบกัน ผ้าที่โพกหัวก็ตกแต่งมาก หยังหรือตะกร้าใส่ของที่อยู่ข้างหลัง ก็ใช้ไหมหรม ทำเป็นดอกติดสีฉูดฉาดเป็นอันมาก และเลยกลายประโยชน์จากใช้สอยใส่ของเป็นเครื่องประดับอีกชิ้นหนึ่ง หญิง ไทยาเกล้าผมหรือตั้งเกล้าแล้วเอาผ้าชิ้นเล็กเป็นลายเหมือนเตี่ยวปลายปักทั้ง 2 ชาย เรียกว่า โหเนี้ยว วางลงบนผมที่เกล้าไว้ ให้ปลายห้อยออกมา แล้วเอาผ้าผืนหนึ่งพับทบให้กว้างประมาณ 5 นิ้ว โดยมากเป็นผ้าสีมีลายเป็นทางยาว เรียกว่า วางทับลงบนผ้าโหเนี้ยว ให้ปลายผ้าจรดที่หน้าผาก และผ้าทอดผ่านกระหม่อม ไปทางหลังแล้วเอาผ้าสีดำอีกชิ้นหนึ่ง เรียกว่า มาพันรอบ ที่เกล้าโดยมีผ้าโหเนี้ยวและผ้าเผี้ยว แลบออกข้างๆหู และตรงหน้าผาก หลังจากนั้นเอาผ้าโพกที่เรียกว่าซึ่งข้างหนึ่งปักและมีพู่เรียกว่า มาพันรอบๆ เกล้าและเหน็บให้ชายที่เป็นพู่โผล่ออกมา ส่วนผ้าเผี้ยวนั้นทับพับขึ้นมาให้ชายหลังห้อยอยู่สัก 5 นิ้ว และขึ้นไปเหน็บชายไว้กับฝ้ายวึ้งโห เมื่อเสร็จแล้วผ้าโพกหัวของไทยาจะมีแลบชาย 2 ข้างหู แลบที่หน้าผาก และห้อยข้างหลัง สรุปได้ว่าการโพกหัวของไทยามีผ้าอย่างน้อย 4 ชิ้น หญิง ไทยาอาจใส่ตุ้มหู ซึ่งมีลักษณะใหญ่เป็นวงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 นิ้ว ตุ้มหูนี้ปลายข้างหนึ่งเป็นปุ่ม อีกข้างหนึ่งงอโค้ง เวลาใส่เอาข้างที่ไม่มีปุ่มสอดเข้าไปในรูหู ปุ่มอีกข้างจะถ่วงน้ำหนัก ทำให้ห่วงไม่หลุดจากรูหู ตุ้มหูนี้เรียกว่า แหวนหู หรือออกเสียงว่า เหวียนหู เสื้อของหญิงไทยา เป็น 2 ตัว ตัวในเรียกว่า เป็นเสื้อแขนกุด คอแหลมป้ายไปข้างขวา ตรงคอปักกระดุมเงิน (อะลูมิเนียม) เป็นแถวประมาณ 3-4 แถว เสื้อนี้ผ่าข้างๆ ทางขวาติดกระดุมเม็ดใหญ่ 2-3 เม็ด ปลายเสื้อซึ่งเป็นเสื้อตัวแคบพอดีตัว ก็ปัดเม็ดกระดุมเงิน เป็นเชิง (เชิงนี้ถ้าเป็นหญิงสาวยังไม่มีลูกใช้ไหมปัก แต่มีลูกแล้วปักกระดุมเงินได้) เหนือเชิงปักเป็นรูปสามเหลี่ยมมุมฉากด้วยกระดุมเงินเป็นแถวๆ เสื้อตัวนอกเป็นเสื้อแขนยาว แขนลีบ ปลายแขนปะผ้าเป็นขีดๆ ตัวเสื้อสั้น ๆ จึงทำให้เห็นเสื้อตัวใน เสื้อตัวนี้เรียกว่า เสื้อหลวง หรือออกเสียงว่า เสื้อตัวนี้ที่คอก็ประดับเหมือนกัน ผ้านุ่งในชุดของไทยา อาจมี 3 ผืน แต่ต้องมี 2 ผืนอย่างน้อย ผืนในสุดเป็นซิ่นลาย หรือออกเสียงว่า เป็นผ้าทอ ชายผ้าเป็นเชิงเป็นทางตามขวาง ถ้ามีสตางค์ก็นุ่งซิ่นอีกตัวทับซิ่นตัวนี้เรียกว่า ซิ่นแพร หรือออกเสียงว่า เสิ่นเพ๊ ซิ่นตัวนี้มีผ้าแพรประดับเป็นเชิง และมีปักบ้าง สวยมาก มักทำเป็น 2 ชิ้น ซิ่นตัวนี้ถ้าไม่มีสตางค์ ก็ไม่ใส่ ต่อไป สวม ซิ่น เรียกว่า ซิ่นตัวนี้สวมให้สูงกว่าเชิง และเวลาสวมดึงข้างขวาขึ้นมาเหน็บ เพราะฉะนั้น หญิงไทยาจึงนุ่งผ้าถุงที่มีลักษณะถกชายขึ้นมาข้างหนึ่ง ที่เอวคาดผ้าดำตรึงไว้แล้วจึงเอาผ้าคาดเอวที่สวยเรียกว่า หัวผ้าไว ซึ่งติดกับผ้าห้อยหน้า หรือเรียกว่า ผ้าไว คาดทับถ้าอากาศหนาวก็จะพันแข้งด้วย ผ้าเก้า หรือออกเสียงว่า ซึ่งถ้าเป็นของหญิงสาวก็จะปัดประดับมากมายในการประดับชุดแต่งกายนี้ หญิงไทยาประดับอย่างมาก นอกจากตุ้มหูและกำไรมือหรือที่เรียกว่าเหวียน เขายังมีสร้อยซึ่งปลายเป็นพู่ ห้อยจากกระดุมเสื้อตัวในอ้อมไปหลังมาพาดที่ไหล่ขวา และเรียกสิ่งนี้ว่า หมากหล้าวหาง นอกจากนี้ทางด้านซ้ายของเสื้อตัวในตรงเชิงเสื้อที่ติดกระดุมยังอาห้อยสร้อย เป็นพวกเรียกว่า ซึ่งประกอบด้วยไม้จิ้มฟัน ไม้แคะหูและที่ใส่หินปูนสำหรับหมาก ข้างหลังก็อาจมีผ้าผืนเล็กๆ เรียกว่า ห้อยอยู่อีก หญิงไทยายังอาจคาด หรือกุบมีลักษณะเป็นแผ่นกลมๆ คล้ายจานเรดาร์ สานด้วยใบลานไว้ข้างหน้าอีกด้วย
ข้อห้ามในการแต่งกาย เวลาไปงานศพต้องใส่สีขาวไม่ประดับ และต้องลดซิ่นมึ่น ลงไปให้ชายตรงจดเชิงชองซิ่นลาย หญิงยังไม่มีลูก เสื้อตัวในห้ามติดกระดุมเงินตุ่มเล็กๆ ที่เชิงเสื้อ เวลาไปทำนาไม่นุ่งซิ่นแพร
ศูนย์สารนิเทศมนุษยศาสตร์
คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
254 ถนนพญาไท แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
Privacy Policy
© Faculty of Arts – All Rights Reserved 2020