เมื่อมีการจัดตั้งคณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ขึ้นในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยใน   พ.ศ.  2460   วิชาประวัติศาสตร์เป็นวิชาหนึ่งที่ได้จัดสอนในคณะนี้ ในฐานะเป็นวิชาพิเศษสำหรับนิสิตชั้นเตรียมแพทยศาสตร์ ในปลายปี พ.ศ. 2466   ต่อมาเมื่อสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนสงขลานครินทร์ทรงดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมมหาวิทยาลัย และทรงดำเนินการปรับปรุงคณะแพทยศาสตร์รวมทั้งคณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์นั้น ได้ทรงจัดหลักสูตรวิชาประวัติศาสตร์ด้วยพระองค์เอง โดยทูลเชิญและเชิญผู้ที่มีความรู้เฉพาะทางมาปกฐกถา เช่น  สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงบรรยาย "ประวัติศาสตร์ไทย"  พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าธานีวิวัติ ทรงบรรยาย "อิทธิพลของวัฒนธรรมอินเดียต่อวัฒนธรรมไทย" เป็นต้น   ในการบรรยายแต่ละครั้ง นอกจากนิสิตแล้วยังมีอาจารย์และบุคคลภายนอกที่สนใจเข้าฟังด้วย

          ใน พ.ศ. 2471  กระทรวงธรรมการมีวัตถุประสงค์ที่จะส่งเสริมการศึกษาวิชาอักษรศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์และวิชาครู จึงมอบหมายให้คณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์เปิดสอนขั้นประกาศนียบัตรครูมัธยมสาขาอักษรศาสตร์และสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้เวลาศึกษาตามหลักสูตรสามปี   สองปีแรกเป็นการศึกษาวิชาสาขาอักษรศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ปีสุดท้ายเป็นการศึกษาวิชาครู  วิชาประวัติศาสตร์เป็นหนึ่งในจำนวนวิชาที่เปิดสอนสำหรับสายอักษรศาสตร์ และในช่วงนี้เองที่เริ่มมีการแบ่งเป็นแผนกวิชาต่างๆ ขึ้น การแบ่งแผนกวิชาดังกล่าวนี้ได้รับการรองรับอย่างเป็นทางการโดย    "พระราชกฤษฎีกาจัดวางระเบียบสำนักงานและกรมในกระทรวงธรรมการ"   ซึ่งประกาศในวันที่     29  มกราคม  พ.ศ. 2476   ตามความในพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้    คณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์แบ่งออกเป็น      9  แผนก คือ

      1. แผนกสารบรรณและหอสมุดของคณะ 2. แผนกเคมี
      3. แผนกฟิสิกส์ 4. แผนกชีววิทยา
      5. แผนกคณิตศาสตร์ 6. แผนกภาษาไทยและภาษาโบราณตะวันตก
      7. แผนกภาษาปัจจุบัน 8. แผนกฝึกหัดครู
      9. แผนกภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์  

          ต่อมาใน พ.ศ. 2477 คณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ได้เปิดสอนในระดับปริญญาอักษรศาสตรบัณฑิตและวิทยาศาสตรบัณฑิต ตามความในพระราชบัญญัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พุทธศักราช 2477 ในช่วงแรกที่เปิดสอนตามหลักสูตรใหม่นี้ ได้รับผู้สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรประกาศนียบัตรครูมัธยมแล้วเข้าศึกษาเพิ่มเติมอีก 2 ปี  การสอนประวัติศาสตร์จึงขยายเพิ่มจากการสอนในชั้นปีที่ 1 และปีที่ 2 มาเป็นปีที่ 3 และปีที่ 4 ด้วย โดยยังคงแบ่งเนื้อหาออกเป็น 2 ส่วน คือ ประวัติศาสตร์ไทย และประวัติศาสตร์สากล


          อย่างไรก็ตาม น่าสังเกตว่า แม้จะมีการตั้งแผนกวิชาภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการและได้ขยายการสอนจนถึงระดับปริญญาแล้วในช่วงเวลาดังกล่าว แต่การสอนวิชาประวัติศาสตร์ยังคงอาศัยกำลังอาจารย์จากบุคคลภายนอกโดยมิได้มีอาจารย์ประจำแต่ประการใด อาจารย์พิเศษซึ่งทำการสอนวิชาประวัติศาสตร์ในช่วงเวลานี้  มีอาทิเช่น  หม่อมเจ้าทองทีฆายุ ทองใหญ่  หลวงวิจิตรวาทการ   พระราชธรรมนิเทศ  และพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา  เป็นต้น

          จนถึง พ.ศ. 2478  แผนกวิชาภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์จึงมีอาจารย์ประจำเป็นท่านแรกคือ ศาสตราจารย์รอง ศยามานนท์ (ตำแหน่งทางวิชาการหลังสุด) ศาสตราจารย์รองได้พยายามปรับปรุงหลักสูตรวิชาประวัติศาสตร์ให้ครอบคลุมประวัติศาสตร์ในภูมิภาคต่างๆ มากขึ้น  เช่น  จีน-ญี่ปุ่น  อเมริกา  เป็นต้น   โดยเพิ่มเติมเข้าในเนื้อหาของประวัติศาสตร์สากล และเนื่องจากเพิ่งมีอาจารย์ประจำเพียงท่านเดียว การเรียนการสอนในช่วงนี้จึงยังต้องอาศัยอาจารย์พิเศษด้วย  เช่น นายอภัย จันทวิมล  สอนวิชาประวัติศาสตร์ยุโรป   และนายโชจิ อิโต ชาวญี่ปุ่นซึ่งสอนประวัติศาสตร์เอเชีย  เป็นต้น

           ใน พ.ศ. 2487 แผนกวิชาภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์มีอาจารย์ประจำเพิ่มขึ้น คือ หม่อมราชวงศ์สุมนชาติ สวัสดิกุล และในปีต่อมาหม่อมราชวงศ์แสงโสม เกษมศรี ก็เข้ารับราชการเป็นอาจารย์ประจำคนที่สาม การเพิ่มจำนวนอาจารย์ประจำมากขึ้นทำให้การดำเนินงานของแผนกวิชาเป็นไปอย่างคล่องตัวยิ่งขึ้น กล่าวได้ว่าเป็นช่วงที่การบริหารการเรียนการสอนเข้าสู่ลักษณะการเป็นแผนกวิชาอย่างสมบูรณ์ ใน พ.ศ. 2487 นี้    ศาสตราจารย์รอง ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนกวิชาภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ นับเป็นหัวหน้าแผนกวิชาฯ ท่านแรก   แผนกวิชาภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ได้เริ่มเปิดสอนตาม หลักสูตรปริญญามหาบัณฑิตสาขาวิชาประวัติศาสตร์  ในช่วงแรกนี้โครงสร้างหลักสูตรเน้นการทำวิทยานิพนธ์ภายใต้การควบคุมของอาจารย์ที่ปรึกษา  โดยไม่มีการเรียนรายวิชา    นิสิตระดับบัณฑิตศึกษาคนแรกคือ   หม่อมราชวงศ์แสงโสม  เกษมศรี   ซึ่งเมื่อสำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรนี้แล้วได้เข้ารับราชการเป็นอาจารย์ประจำของแผนกวิชาดังกล่าวมาแล้ว นับจากปีแรกเริ่ม การเรียนการสอนระดับบัณฑิตศึกษาสาขาวิชาประวัติศาสตร์ก็พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ จนถึง พ.ศ. 2505 ก็ได้รวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของบัณฑิตวิทยาลัยซึ่งได้จัดตั้งขึ้นในปีนั้น ในช่วงเวลานี้เองที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหลักสูตรให้มีทั้งการเรียนรายวิชาและการทำวิทยานิพนธ์ โดยใช้ระบบหน่วยกิต

           ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2515 ได้มีการแบ่งแยกแผนกวิชาภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ออกเป็น 2 แผนกวิชาต่างหากจากกัน คือ แผนกวิชาประวัติศาสตร์  และ แผนกวิชาภูมิศาสตร์   ต่อมาเปลี่ยนจากการเรียก "แผนกวิชา" เป็น "ภาควิชา" ตามความในพระราชบัญญัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2522 ซึ่งกำหนดให้คณะต่าง ๆ ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยประกอบด้วยหน่วยงานระดับภาควิชา ดังนั้นจึงเริ่มใช้คำว่า "ภาควิชาประวัติศาสตร์" ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

อาจารย์ของภาควิชา

            สำหรับทรัพยากรสำคัญใน "ชุมชนวิชาการ" ของภาควิชาประวัติศาสตร์ อันได้แก่ อาจารย์   ก็ได้เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ จากปี พ.ศ. 2485   ที่มีคณาจารย์เพียง  3  คน  ดังกล่าวมาแล้ว  ในปี พ.ศ. 2498 แผนกวิชาภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์มีอาจารย์ประจำ  5  คน  อาจารย์พิเศษ  6  คน   อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ พ.ศ. 2517 ซึ่งเริ่มใช้ระบบหน่วยกิตและมีความจำเป็นต้องเปิดรายวิชามากขึ้น   ปรากฎว่า  จำนวนอาจารย์ประจำได้เพิ่มขึ้นตามภารกิจทางวิชาการ   กล่าวคือ  ในปี พ.ศ. 2517   มีอาจารย์ประจำ  คน  อาจารย์พิเศษ  5  คน  และในปัจจุบันมีอาจารย์ประจำ  10  คน   อาจารย์พิเศษ  2  คน   อาจารย์ส่วนใหญ่มีความสนใจเน้นหนักไปทางด้านประวัติศาสตร์ไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งสามารถตอบสนองวัตถุประสงค์ของหลักสูตรใหม่ ที่มุ่งความรู้อย่างลุ่มลึกเกี่ยวกับภูมิภาคนี้ เพื่อเป็นเครื่องมือในการฝึกฝนให้นิสิตมีความเชี่ยวชาญในเชิงวิจัย   ขณะเดียวกันภาควิชาฯ ก็มีอาจารย์ซึ่งชำนาญในประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออก  เอเชียใต้   ยุโรป  และอเมริกา ซึ่งจะช่วยให้นิสิตมีความรู้ทางประวัติศาสตร์อย่างกว้างขวาง  (ดูเพิ่มเติมใน "คณาจารย์ในภาควิชา")

พัฒนาการการเรียนการสอนระดับบัณฑิตศึกษา  สาขาวิชาประวัติศาสตร์

  หลักสูตรอักษรศาสตรมหาบัณฑิต   สาขาวิชาประวัติศาสตร์     
 
         ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2485   แผนกวิชาประวัติศาสตร์ ได้เริ่มเปิดสอนขั้นปริญญามหาบัณฑิต  สาขาวิชาประวัติศาสตร์ นับเป็นสถานศึกษาแห่งแรกในประเทศไทยที่เปิดสอนวิชาประวัติศาสตร์ระดับสูง จึงกล่าวได้ว่า  ภาควิชาประวัติศาสตร์ในขณะนั้น  มีบทบาทอยู่มากต่อการขยายตัวของวิชาประวัติศาสตร์  ในขณะนั้น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังไม่ได้จัดตั้งบัณฑิตวิทยาลัยขึ้น เมื่อคณะหรือภาควิชาใดพร้อมที่จะเปิดสอนก็ขออนุมัติต่อที่ประชุมคณบดี เมื่อได้รับอนุมัติแล้วก็ดำเนินการไปตามความเหมาะสมโดยเอกเทศ

           หลักสูตรปริญญามหาบัณฑิตของภาควิชาฯ ระยะแรกตั้งจนถึง พ.ศ. 2505 ยึดรูปแบบหลักสูตรปริญญาขั้นสูงของประเทศอังกฤษเป็นเกณฑ์ นิสิตมีภาระหน้าที่หลักคือการเขียนวิทยานิพนธ์ นิสิตท่านแรกที่ผ่านการศึกษาปริญญามหาบัณฑิตสาขาวิชาประวัติศาสตร์ ได้แก่ ศาสตราจารย์ หม่อมราชวงศ์ แสงโสม เกษมศรี ซึ่งท่านเล่าถึงสภาพการศึกษาในขณะนั้น ดังความบางตอนว่า

         การเรียนปริญญาโทสมัยนั้นรู้สึกลำบากยากใจมิใช่น้อย ด้วยเป็นการเริ่มด้วยกัน
ทั้งอาจารย์และศิษย์   นอกจากนี้อาจารย์ผู้ควบคุมท่านก็มีหน้าที่ราชการหลายอย่าง   มาหาท่าน ตัวท่านว่างก็ได้ทำ  ไม่ว่างก็ต้องเลื่อนกำหนดไปอีก... บางครั้งต้องเดินทางไปเฝ้าหรือไปหาผู้ทรงคุณวุฒิทางวิชาประวัติศาสตร์ไทยและขนบธรรมเนียมประเพณีไทย เพื่อปรึกษาหาความรู้จากท่าน ท่านเหล่านี้บางท่านเป็นเจ้านายชั้นสูง   บางท่านเป็นข้าราชการผู้ใหญ่   บางท่านเป็นทั้งสองประการ   โอกาสได้พบจึงหายาก...   เป็นประสบการณ์ที่ประทับใจ และนำความนิยมการค้นคว้ารวบรวมและเรียบเรียงตำรามาให้ข้าพเจ้าเป็นอันมาก

(ม.ร.ว.แสงโสม เกษมศรี, "คนเก่าเล่าเรื่องตนเอง" สี่ศาสตราจารย.์   พระนคร : โรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช, 2515. หน้า 65.)

           นับตั้งแต่ พ.ศ. 2505 ซึ่งเป็นปีที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจัดตั้งบัณฑิตวิทยาลัยขึ้นอย่างเป็นทางการ สาขาวิชาประวัติศาสตร์ในแผนกภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ได้ปรับปรุงหลักสูตรประวัติศาสตร์ขั้นปริญญามหาบัณฑิตเป็นระบบหน่วยกิตตามหลักเกณฑ์สากล และเริ่มนำระบบการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยของประเทศสหรัฐอเมริกามาใช้เป็นมาตรฐานในการวางหลักสูตร  โดยกำหนดให้นิสิตเรียนรายวิชาจำนวน  30  หน่วยกิต   และการเขียนวิทยานิพนธ์  30  หน่วยกิต เป้าหมายสำคัญประการหนึ่งของหลักสูตรนี้ นอกจากเพื่อผลิตบัณฑิตให้มีความรู้อย่างลึกซึ้งในวิชาประวัติศาสตร์ ก็คือการผลิตมหาบัณฑิตออกไปเป็นครู และอาจารย์ผู้สอนวิชาประวัติศาสตร์โดยตรง

           แผนกวิชายังได้กำหนดหลักสูตรประกาศนียบัตรขั้นสูง สาขาวิชาประวัติศาสตร์   ตามหลักสูตรนี้ผู้ศึกษาไม่ต้องทำวิทยานิพนธ์   แต่เน้นการศึกษารายวิชาต่าง ๆ   ซึ่งมุ่งให้ผู้เรียนได้รับความรู้ทางประวัติศาสตร์ และสามารถแสวงหาความรู้โดยตนเองได้ในระดับพื้นฐาน   ใน พ.ศ. 2518  หลักสูตรนี้ได้ถูกยกเลิกไป

           ใน  พ.ศ.  2517   ได้มีการปรับปรุงหลักสูตรประวัติศาสตร์ขั้นปริญญามหาบัณฑิตอีกครั้งหนึ่ง   หลักสูตรปรับปรุงดังกล่าวยังคงให้ความสำคัญแก่การเขียนวิทยานิพนธ์   และกำหนดหน่วยกิตไว้สำหรับวิทยานิพนธ์นี้ถึง 30 หน่วยกิตเช่นเดิม   การเน้นหนักทางด้านนี้มีผลต่อวงวิชาการประวัติศาสตร์เป็นอย่างมาก     เพราะวิทยานิพนธ์ระดับมหาบัณฑิตทางประวัติศาสตร์ได้เปิดประตูความรู้ที่ลึกซึ้งให้แก่วงวิชาการทางประวัติศาสตร์และศาสตร์ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ มาจนถึงปัจจุบัน   

           ใน  พ.ศ. 2521   หลักสูตรประวัติศาสตร์ระดับปริญญามหาบัณฑิตได้รับการปรับปรุงอีกครั้งหนึ่ง   เป็นการปรับปรุงโครงสร้างหลักสูตรให้สอดคล้องกับนโยบายลดจำนวนหน่วยกิตรวมของบัณฑิตวิทยาลัย กล่าวคือหน่วยกิตของหลักสูตรทั้งสิ้นรวม 48 หน่วยกิต จำนวนหน่วยกิตของรายวิชาที่ต้องศึกษาทั้งหมดยังคงเป็น 30 หน่วยกิตเช่นเดิม แต่ลดหน่วยกิตวิทยานิพนธ์  จาก 30 หน่วยกิต  เป็น 16 หน่วยกิต   เนื้อหาของรายวิชาของหลักสูตร พ.ศ. 2521   ยังคงใกล้เคียงกับหลักสูตร  พ.ศ. 2517   ทั้งในส่วนวิชาประเภทเนื้อหาและวิชาประเภทเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา    ค้นคว้า   หากได้เพิ่มรายวิชาเกี่ยวกับสัมมนาให้มากกว่าเดิม

          ใน พ.ศ. 2535   ได้มีการปรับปรุงหลักสูตรอีกครั้งหนึ่ง    หลักสูตรปรับปรุงใหม่นี้มีวัตถุประสงค์สำคัญ  เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตมหาบัณฑิต   ให้มีความรู้ทางเนื้อหาประวัติศาสตร์อย่างลึกซึ้ง   มีทัศนวิพากษ์  และมีความเชี่ยวชาญในการวิจัยทางประวัติศาสตร์ ทั้งยังมีการเพิ่มกลุ่มรายวิชาที่จะเอื้อให้นิสิตสามารถพัฒนาหัวข้อและ
โครงร่างวิทยานิพนธ์ที่มีความชัดเจนภายในเวลาอันสมควร โครงสร้างของหลักสูตรเอื้อให้นิสิตสามารถลงทะเบียนรายวิชาได้หมดภายในหนึ่งปี และเริ่มศึกษาค้นคว้าเพื่อเสนอหัวข้อวิทยานิพนธ์ในปีการศึกษาที่สองโดยมีรายวิชาเอกัตศึกษารองรับ เพื่อที่นิสิตจะได้มีโอกาสปรึกษากับคณาจารย์ของภาควิชาเกี่ยวกับหัวข้อวิทยานิพนธ์โดยสม่ำเสมอ

          ในปี พ.ศ. 2543 ภาควิชาประวัติศาสตร์ได้ปรับปรุงหลักสูตรอักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ครั้งล่าสุด  วัตถุประสงค์ของหลักสูตรฉบับนี้ คือ เพื่อผลิตมหาบัณฑิตผู้มีความรู้เกี่ยวกับแนวคิด และวิธีการวิจัยทางประวัติศาสตร์   สามารถบูรณาการความรู้ด้านเนื้อหาประวัติศาสตร์และเครื่องมือการวิจัยในศาสตร์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง  เพื่อให้งานวิจัยทางประวัติศาสตร์มีนวภาพ   และตอบสนองความต้องการของสังคม    และเพื่อผลิตมหาบัณฑิตทางประวัติศาสตร์ที่ตระหนักถึงความสัมพันธ์เชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ระหว่างเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออก   จุดเด่นของหลักสูตรนี้คือ  ขยายขอบเขตของหลักสูตรออกเป็น 3 แขนงวิชาคือ  ประวัติศาสตร์ไทย   ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้    และประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออก (ดูเพิ่มเติมใน "หลักสูตรอักษรศาสตรมหาบัณฑิต")

  หลักสูตรอักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิต   สาขาวิชาประวัติศาสตร์  
          ในปีการศึกษา 2539 ภาควิชาประวัติศาสตร์ ได้ขยายการศึกษาถึงขั้นปริญญาดุษฎีบัณฑิต นับเป็นสถาบันแรกและสถาบันแห่งเดียวในประเทศไทยที่เปิดสอนหลักสูตรปริญญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์   วัตถุประสงค์ของหลักสูตรนี้  เพื่อผลิตผู้ที่มีความรู้รอบและรู้สึกในทางประวัติศาสตร์ ทั้งยังมีความรู้และความเข้าใจในเชิงสหวิทยาการ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้อย่างมีประสิทธิภาพในการศึกษาและค้นคว้าวิจัยทางประวัติศาสตร์ ทั้งนี้จะเน้นการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทยและจะขยายไปสู่ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในโอกาสต่อไป ภาควิชาฯ คาดหวังว่า  หลักสูตรนี้จะเป็นการขยายพรมแดนแห่งความรู้ทางประวัติศาสตร์ให้มีความกว้างขวางลึกซึ้ง และเป็นประโยชน์ต่อวงวิชาการในประวัติศาสตร์ในระดับสูงยิ่งขึ้น  

นิสิต

         จากอดีตจนถึงปัจจุบัน (2546)  ภาควิชาฯ ได้ผลิตบัณฑิตทางประวัติศาสตร์ที่มีคุณภาพสู่วงวิชาการ ระบบราชการ และภาคเอกชน ทั้งในระดับปริญญาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ จำนวน 331 คน (นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517  ซึ่งเป็นปีที่เริ่มใช้ระบบหน่วยกิต  ถึง ปี พ.ศ. 2544)  ปริญญามหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ จำนวน  279  คน และปริญญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์  จำนวน 4 คน

การผลิตผลงานทางวิชาการและเผยแพร่

          อาจารย์ของภาควิชาประวัติศาสตร์ได้ผลิตผลงานทางวิชาการในรูปแบบต่าง ๆ อย่างหลากหลาย   ทั้งงานวิจัย  ตำรา  และงานแปล   เป็นที่ยอมรับทั้งในระดับชาติและระดับนานาชาติ (ดูเพิ่มเติมใน "คณาจารย์ในภาควิชา")

          วิทยานิพนธ์ของนิสิตทั้งระดับปริญญามหาบัณฑิต  จำนวน 279 เรื่อง (2485-2544) และดุษฎีบัณฑิต  จำนวน 4 เรื่อง (ดูเพิ่มเติมใน "งานวิทยานิพนธ์") ก็เป็นงานศึกษาวิจัยของนิสิตระดับบัณฑิตศึกษาที่เผยแพร่และเป็นประโยชน์ต่อสังคม

          ผลงานทางวิชาการของอาจารย์และนิสิตภาควิชาประวัติศาสตร์     นับเป็นแหล่งรวมขององค์ความรู้ทางประวัติศาสตร์และเป็นข้อมูลทางวิชาการที่สำคัญในการใช้อ้างอิงและเป็นตัวจุดประกายแนวคิด เพื่อการศึกษาค้นคว้า
ต่อไปของนักประวัติศาสตร์   นักวิชาการ   และนักวิจัย ในวิชาที่เกี่ยวเนื่องทั้งในและต่างประเทศมาโดยตลอด  

 

  ศูนย์ศึกษาประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทยกับประเทศในเอเชีย


            ใน พ.ศ. 2546   ภาควิชาประวัติศาสตร์ได้จัดตั้งหน่วยวิจัย "ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทยกับประเทศในเอเชีย" โดยการสนับสนุนของคณะอักษรศาสตร์ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย   เมื่อ พ.ศ. 2545     เพื่อให้คณาจารย์และนิสิตระดับบัณฑิตศึกษาสามารถดำเนินการวิจัย  และการเผยแพร่องค์ความรู้ในประเด็นดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อันจะนำไปสู่ความเป็นเลิศทางวิชาการ (ดูเพิ่มเติมใน "ศูนย์ศึกษาประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทยกับประเทศในเอเชีย")

กิจกรรมทางวิชาการ : ความรู้สู่สังคม

          นอกจากผลงานวิจัยและผลงานทางวิชาการของอาจารย์และนิสิตระดับบัณฑิตศึกษา ซึ่งเป็นสื่อเผยแพร่องค์ความรู้ทางประวัติศาสตร์สู่สังคมไทย   ภาควิชาฯ ยังได้จัดกิจกรรมทางวิชาการเพื่อเผยแพร่ความรู้สู่สังคมมาอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง  ได้แก่ การจัดสัมมนาทางวิชาการ     การจัดบรรยายทางวิชาการ    การเสนอความก้าวหน้าวิทยานิพนธ์ระดับมหาบัณฑิตและดุษฎีบัณฑิต  

            ในปี พ.ศ. 2545  ภาควิชาฯ ได้จัดสัมมนาทางวิชาการ   จำนวน 4 ครั้ง  สัมมนาระดับนานาชาติ 1 ครั้ง โดยจัดร่วมกับมหาวิทยาลัย Leiden ประเทศเนเธอร์แลนด์   นอกจากนี้ยังมีการบรรยายทางวิชาการ 11 ครั้ง    การเสนอความก้าวหน้าวิทยานิพนธ์ 2 ครั้ง  รวมทั้งนิทรรศการของภาควิชาประวัติศาสตร์ในงานจุฬาวิชาการ 2545  อีก 2 หัวข้อเรื่องคือ  เข้าใจเพื่อนบ้าน และวิกฤตในสังคมไทย   และข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไข (ดูเพิ่มเติมใน "กิจกรรมในปีที่ผ่านมา" 

 

เมนูหลัก