นักมนุษยศาสตร์จำนวนไม่น้อยทำงานในสายนี้ด้วยความหลงใหลในลักษณะเฉพาะของมนุษยศาสตร์ที่ให้คุณค่ากับความหลากหลายและการตีความของแต่ละคน เป็นงานเชิงคุณภาพที่อาศัยความลุ่มลึกในการทำความเข้าใจงานแต่ละชิ้น และการสร้างความเข้าใจมากขึ้นจากการถกเถียงจากมุมมองต่าง ๆ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเสน่ห์ของการทำงานด้านมนุษยศาสตร์ ในขณะที่งานด้านมนุษยศาสตร์ดิจิทัลมีภาพของงานเชิงปริมาณ อาศัยการประมวลผลข้อมูลโดยรวม ใช้วิธีการคำนวณแบบวิทยาศาสตร์ จึงดูเสมือนเป็นสิ่งแปลกปลอมหรือไม่ก็เป็นเพียงงานชายขอบที่ไม่ใช่แก่นของงานมนุษยศาสตร์จริง ๆ
แต่หากเมื่อพิจารณาว่า จุดมุ่งหมายของมนุษยศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาเชิงปรัชญา ประวัติศาสตร์ ภาษาและวัฒนธรรม วรรณกรรม บทละคร ความคิดความเชื่อต่างๆ ต่างก็เพื่อให้เราเข้าใจมนุษย์ในมิติต่าง ๆ มากขึ้น การศึกษาทางมนุษยศาสตร์ดิจิทัล แม้จะไม่ใช่การวิเคราะห์งานแต่ละชิ้นแบบละเอียด แต่วิธีการศึกษาแบบใหม่ที่ใช้นั้นเป็นผลพวงจากพัฒนาของศาสตร์อื่น ๆ ในปัจจุบัน ที่ทำให้เห็นประโยชน์มากมายจากการศึกษาจากข้อมูลมหึมา (big data) ทำให้เห็นข้อมูลรอบด้านและครอบคลุมภาพรวมมากขึ้น มีการใช้เครื่องมือช่วยแสดงภาพความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนให้เห็นเป็นภาพชัดเจนขึ้น (visualization) มีเครื่องมือช่วยในการคัดกรองและจัดระบบข้อมูลส่วนต่าง ๆ ที่สำคัญและสัมพันธ์กัน (data mining) ทำให้เห็นความสัมพันธ์ข้อมูลที่ไม่เคยเห็นหรือสนใจมาก่อน ความก้าวหน้าของศาสตร์และเทคโนโลยีเหล่านี้เป็นประโยชน์แก่ทุกวงการทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะปิดกั้นหรือมองเรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งแปลกปลอมหรือนอกขอบเขตของมนุษยศาสตร์ อย่างไรก็ดี บางคนก็อาจมองว่าถึงกระนั้น งานมนุษยศาสตร์ดิจิทัลก็ไม่ใช่งานที่เป็นแก่นแท้ของมนุษยศาสตร์ ไม่จำเป็นที่จะต้องจัดให้มีการศึกษาเชิงมนุษย์ดิจิทัลใคณะอักษรศาสตร์ก็ได้ เป็นเช่นนั้นจริงหรือ
ในเมื่อแก่นของมนุษยศาสตร์ยังเป็นเรื่องการตีความหลากหลาย การใช้ความสามารถในการวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งคณะอักษรศาสตร์ที่ผ่านมาก็ได้สอนและปลูกฝังความคิดนี้มาตลอด และก็ทำได้ดีอย่างมาก เห็นได้จากตัวอย่างนิสิตเก่าที่ประสบความสำเร็จในชีวิตและหน้าที่การงานจำนวนมาก จึงไม่มีความจำเป็นหรือเร่งด่วนอะไรที่จะต้องรับเรื่องใหม่ ๆ อย่างมนุษยศาสตร์ดิจิทัลเหล่านี้เข้ามา คณะอักษรศาสตร์ยังคงสามารถสอนโดยยึดหลักการและวิธีการเดิมได้ไม่ใช่หรือ
จริงอยู่ที่ว่ารูปแบบการเรียนการสอนที่ผ่านมาได้บ่งบอกถึงความสำเร็จของคณะที่ได้ผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพออกไปจำนวนมาก แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ใช่หลักประกันของความสำเร็จท่ามกลางบริบทสังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ธุรกิจและสังคมทุกภาคส่วนต่างก็ตื่นตัวและปรับตัวให้พร้อมรับเทคโนโลยีเปลี่ยนวิถี (disruptive technology) ที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ที่ส่งผลให้บริษัทหรือหน่วยงานทั้งหลายที่แม้เคยเป็นผู้นำอันดับหนึ่งแต่หากไม่สามารถปรับเปลี่ยนวิถีปฎิบัติองค์กรให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงก็จะล่มสลายจากไปดังตัวอย่างของบริษัท Kodak บริษัท Nokia การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้กระทบทุกวงการในภาพกว้าง หากในสิบปีข้างหน้าการแปลภาษาโดยอัตโนมัติเป็นเทคโนโลยีที่ทุกคนเข้าถึงและใช้ได้ ความจำเป็นของบัณฑิตที่รู้ภาษาต่างประเทศก็อาจลดความสำคัญลง เราจึงปฏิเสธได้ยากว่าโลกในศตวรรษที่ 21 นี้ คณะอักษรศาสตร์ก็จำเป็นต้องปรับตัว เพื่อให้สามารถผลิตบัณฑิตที่เหมาะสมสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของโลกข้างหน้าได้ และมนุษยศาสตร์ดิจิทัลจะมีความสำคัญยิ่งในอนาคต