มุมมองอักษรผ่านศิษย์เก่าคนดัง |
|
บทสัมภาษณ์ศิษย์เก่า คนดัง จาก รำแพนฉบับครบขวบ (ปี 2553) จัดทำโดย ฝ่ายสาราณียกร คณะกรรมการนิสิตอักษรศาสตร์
 |
ผอูน จันทศิริ
ถ้ากล่าวถึง สมรศรี หรือพี่หมอน จาก “เป็นต่อ” ทุกคนต้องรู้จักกันอย่างดี แต่นี้คือบทบาทเพียงด้านเดียวของ “ผอูน จันทศิริ” เท่านั้น ผู้ที่บุคคลคุณภาพที่อยู่ เบื้อหน้าและหลังวงการบันเทิงไทยมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นนักเขียนบท ผู้กำกับละคร ผู้กำกับละครเวที และผู้กำกับภาพยนตร์ ผลงานที่โดดเด่นได้แก่ เดอะเลตเตอร์ จดหมายรัก, ดงดอกเหมย, อาทิตย์ชิงดวง เป็นต้น และหนึ่งในบทบาทที่รำแพนจะไปล้วงลึกก็คือ บทบาทการเป็นนิสิตอักษรศาสตร์ รหัสรุ่น 23 |
“จริงๆ อยากเอกละคร แต่สมัยนั้นเนี้ย โห พูดแล้วแก่มาก (หัวเราะ) มันยากมากที่จะเข้าวงการบันเทิง ก็มีพวกสถาปัตย์ฯเข้ามาไม่กี่คน แล้วก็มีพี่จิ๊-อัจฉราพรรณ ไม่ใช่ว่าวงการบันเทิงนี่ไม่ดีแต่ว่าชีวิตนิสิตนักศึกษากับวงการบันเทิงมันห่างกันมาก ก็จะมีพี่ตา-ปัญญา แต่ก็มีมาประปราย พอรุ่นที่พี่ใกล้จบมันถึงได้มีพวกสถาปัตย์ฯแล้ว ก็พี่ๆอักษรฯ เข้ามาบูมๆ กันโชคดีที่เป็นช่วงรอยต่อของรุ่นพอดีพี่ก็เลยได้เข้ามา แต่จริงๆแล้วพอจะเอกละครแล้ว คุณพ่อคุณแม่ไม่ให้เรียนก็เป็นครั้งแรกที่คุณพ่อคุณแม่ยุ่งเกี่ยวกับการศึกษา ธรรมดาเค้าจะตามใจ เค้าจะบอกว่าเรียนมาแล้วจะไปทำอะไร ก็เรียนเป็นโทก็แล้วกัน พี่ก็เรียนเอกภาษาอังกฤษ แต่บังเอิญพอจบมาแล้วเราได้ทำงานที่เป็นโทมากกว่า”
“สมัยก่อนอย่างที่บอกว่าเด็กอักษรฯเป็นเด็กที่ค่อนข้างเรียนเก่ง ฐานะดี มันก็เลยดูเป็นไฮโซไปเลยโดยปริยายแต่รุ่นพี่เป็นจุดอับของอักษรฯ อย่างรุ่นพี่พี่อีกทีคือรุ่นคุณญาณีก็เป็นรุ่นที่สวยหมด จนมาถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังสวยงามกันอยู่ รุ่นน้องพี่ก็สวยงามกันเป็นสาวแพรวก็มี แต่รุ่นของพี่จะเฮฮาแล้วก็ดูแจ่มใสมีชีวิตชีวากว่ารุ่นอื่น คงเพราะมันไม่สวย มันก็เลยรักกัน (หัวเราะ) รุ่นพี่สามัคคีกันดี ใครๆก็ชอบว่ารุ่นของพี่น่ารักดี อย่างรุ่นก่อนๆ เค้าจะเป็นรุ่นที่ดูห่างไกลความเป็นจริงนะค่ะ ดูเป็นเจ้าหญิงๆกัน ตอนสมัยพี่อยู่เตรียมฯ เวลามากินข้าวที่โรงอาหารอักษรฯ แล้วจะรู้สึกแปลกๆ เพราะว่าเดินผ่านบางโต๊ะเค้าก็จะไม่พูดแบบธรรมดานะเค้าก็จะพูดเป็น ไบเล่ (พูดด้วยสำเนียงเจ้าของภาษาแท้) บางโต๊ะก็นั่งคุยเรื่องปรัชญาอะไรอย่างนี้ เราก็แบบว่าทำไมคนเรามันต้องกระแดะกันขนาดนี้ แต่พวกพี่เป็นพวกที่แบบว่าร่าเริงเชิงบ้องอะไรแบบนี้ พวกเรียนละครก็ไม่ค่อยเป็นติสต์เท่าไรก็บ้านนอกๆกันไป พี่อยู่กลุ่มของเพื่อนที่เรียนเก่งมากทุกคน ตัวพี่เป็นคนที่เรียนไม่เก่งมากที่สุดในกลุ่มเป็นคนที่สนใจแต่จะเกเรอะไรอย่างนี้ค่ะ หนีเรียนบ่อยมากแล้วไม่ได้ไปไหนด้วย ไปนั่งคุยก็โชคดีมีเพื่อนดีคอยช่วยเหลือ คอยดูแลโดดเรียนก็ไม่ได้ทำอะไรเลยนั่งคุย ดูผู้ชาย (หัวเราะ) สมัยก่อนเค้ายังให้นั่งที่ลานนนทรีตรงที่ติดกับวิศวะฯ ข้างหน้านึกหนึ่งนะค่ะ ซึ่งแต่ก่อนนี้มันเป็นลานที่นั่งกันได้แล้วสนุกมากเพราะเป็นเด็กที่ไม่เคยเจอผู้ชายไง ก็เลยนั่งดูผู้ชายตลอดทั้งวัน สนุกสนาน ผู้ชายก็เตะบอลอัดก็ไม่เป็นไรไม่เจ็บ ทนได้ๆ สนุก (หัวเราะ)
กิจกรรมที่ประทับใจมากก็ตอนรับน้องที่พี่อยู่ปีสอง กลุ่มพี่ในฐานะที่ใหญ่ที่สุด มี 22 คน น่ากลัวมากนั่งกันยั๊วเยี้ยเต็มโต๊ะไปหมด พวกวิศวะฯแถวๆนั้นเค้าเรียกว่าถ้ำเสือน่ากลัวมาก (หัวเราะ) นั่นแหละ ต้องรับผิดชอบการแสดงของชั้นปี พี่เลยบอกว่าโอเคงั้น เดี๋ยวชั้นไปเขียนบทละครมาแล้วกันแล้วช่วยๆกันเล่น เดี๋ยวชั้นกำกับเอง เขียนบทแล้วกำกับเอง อันนี้คงเป็นจุดเริ่มต้นของวิชาชีพนะค่ะ ออกมาก็กลายเป็นละครตลกนะค่ะ เป็นละครที่ตลกมากโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ไอ้พวกเล่นก็เล่นไป พวกที่พากย์ก็พากย์ไป ไอ้คนที่เป็นดาวของรุ่นมันก็ยอมเล่นให้มาเป็นนางเอกซินเดอเรลล่า อุบาทจ์มากยังไงมันก็เล่นคือละครเรื่องนี้เป็นละครที่มีการกล่าวขวัญถึงว่าสนุกมาก อะไรอย่างนี้นะคะ ที่ประทับใจคืออาจารย์อำภา โอตระกูล ท่านรองคณบดี เป็นอาจารย์ที่ดุมากแล้วก็ไม่ค่อยยิ้ม แต่อาจารย์ชอบละครเรื่องนี้มากจนขอไปแปลเป็นภาษาเยอรมันไปเล่นที่สถานทูต อีกอย่างคือมันเป็นละครภายในอยู่แล้ว คนมันก็ขำกันเองด้วย พอหลังจากนั้นคนที่เป็นซินเดอเรลล่าที่สวยๆก็แต่งงานกับอาจารย์ที่ตอนหลังออกมาทำรายการโทรทัศน์ แล้วก็เหมือนคนนี้มันจะบอกอาจารย์ว่าพี่เขียนบทได้ดี อาจารย์เค้าก็เลยตามมาอยากให้ทำงาน แล้วละครเรื่องนี้ก็ทำให้คนในรุ่น เวลานึกถึงว่าใครมีหัวทางนี้เค้าก็จะนึกถึงเรา มันก็เป็นการเปิดตัว บังเอิญคนเราถ้ามีโอกาสมันก็ต้องทำ แต่จริงๆ พี่ไม่ได้คิดอะไรอย่างนั้นเลยนะ พี่กลัวโดนรุ่นพี่ด่า พี่ก็เลยทำ แค่นั้นเอง แล้วก็รู้ว่าทำได้ก็ทำไม่ได้คิดอะไรเลย สิ่งที่พี่ประทับใจมากๆก็คือความร่วมมือของเพื่อนๆ แล้วมันสนุกมาก”
“คณะอักษรฯ ให้อะไรมากกว่าแค่วิชาชีพ นอกจากให้ความรู้ทางด้านละคร ก็ให้ทุกอย่างเพื่อประกอบวิชาชีพ ด้วยแวดวง เพื่อนฝูง โอกาสเยอะมากที่เราได้แล้วอีกอย่างหนึ่งคือเรื่องของวิธีการมองโลกและรสนิยมมันอยู่ที่การศึกษาจริงๆ คือวิชาที่เราเรียนมาจากคณะนี้มันจะทำให้เราวิเคราะห์เป็น มองคนเป็น แล้วก็รับรู้ความรู้สึกของคนรอบข้างตลอดเวลา ที่เป็นมากๆ คือการวิเคราะห์คนซึ่งมันก็ได้มาจากคณะมากจากการศึกษาโดยตรง รวมทั้งรสนิยมด้วย มันเป็นความละเมียดที่ถูกบ่มเพาะมาก ถึงแม้ว่าเราไม่ค่อยได้เรียนหนังสือ ถึงแม้ว่าเราไม่ค่อยรู้ตัว แต่ว่าทุกอย่างมันค่อยๆ ซึมเข้ามาที่ตัวเรา”
|