สัญลักษณ์ประจำคณะ
			 พระสรัสวตี :  เทวีอักษรศาสตร์  
ในคัมภีร์ฤคเวท อันเป็นคัมภีร์ที่เก่าแก่ที่สุดในอินเดีย มีข้อความหลายตอนกล่าวถึงเทวีสององค์ซึ่งเป็นเรื่องน่าสนใจมากคือ 
                    วาจฺ หรือ วาทฺ หรือ วาคฺเทวี กับ สรสฺวตีเทวี ซึ่งในสมัยต่อมาคือสมัยมหากาพย์และปุราณะได้กลายเป็นเทวีองค์เดียวกัน 
            และมีตำแหน่งเป็น เทพเจ้าแห่งอักษรศาสตร์และวิชาดนตรี เป็นที่นับถือเคารพบูชาของชาวอินเดียตลอดมาจนทุกวันนี้  
			 วาจ เป็นเทวีในแบบบุคลาธิษฐานคือเดิมเป็น “ เสียง” หรือ “ 
			  ถ้อยคำ” ตรงกับภาษากรีกว่า Vox และภาษาอังกฤษว่า Voice มีลักษณะเป็นธรรมชาติมีแต่ภาวะแต่ไม่มีรูปร่างเป็นตัวตน 
			  คัมภีร์พระเวทถือว่าเป็นพลังอำนาจทางธรรมชาติ อย่างหนึ่งที่ทรงความศักดิ์สิทธิ์และสำคัญยิ่ง 
			  สามารถดลบันดาลให้เกิดความรู้ความฉลาดในหมู่มนุษย์ และเป็นราชินีแห่งทวยเทพผู้ทรงความฉลาดลึกล้ำเพราะเสียงหรือถ้อยคำนั้นเป็นบ่อเกิดแห่งวิชาการทั้งปวง 
			  ซึ่งสมัยโบราณต้องท่องจำและถ่ายทอดสั่งสอนสืบกันมา และบทสวดสรรเสริญพระเจ้าในคัมภีร์พระเวทนั้น 
			  ถือว่าเป็นยอดแห่งความรู้ทั้งมวล ซึ่งจะถ่ายทอดสืบกันมาได้ก็ด้วยการเปล่งเสียงให้ถูกต้องและมีจังหวะจะโคนที่ถูกต้อง 
			  โดยอาศัยการฝึกหัดอบรมกันมาอย่างเคร่งครัดเป็นรุ่นๆ สืบมาเป็นเวลาเกือบสี่พันปีแล้ว 
			  ฉะนั้น  วาจ หรือ  วาคเทวี จึงได้รับความนับถือยกย่องว่าเป็นแกนสำคัญอย่างหนึ่งในการธำรงไว้ซึ่งรากฐานแห่งอารยธรรมของอินเดียโบราณทั้งมวล  
			 คัมภีร์ภาควตปุราณะ อ้างถึง  วาจ ว่า “ เป็นผู้มีร่างกายบอบบางและเป็นธิดาผู้ทรงเสน่ห์ของพระพรหม” 
			  และมีเรื่องเล่า สืบไปว่า พระพรหมสร้างวาจขึ้นมาและเพราะเธอมีความงามพึงพิศหลายประการจึงให้ชื่อว่า 
			  “ ศตรูปา” (มีรูปร้อยแบบ)  
			  และ พระพรหมมีความเสน่หาในตัวนาง พระพรหมจึงเอานางเป็นชายาสร้างกำเนิดเผ่าพันธ์มนุษย์สืบมา 
			  แต่คัมภีร์ปัทมปุราณะ มีข้อความต่างออกไปโดยกล่าวว่า  วาจ เป็นลูกสาวของฤาษีกัศยป และเป็นมารดาของคนธรรพ์และนางอัปสรทั้งหลาย  
			 ส่วนสรัสวตี เป็นศัพท์ที่สร้างขึ้นจาก  สรสฺ ( น้ำ ) + วตี ( เต็มไปด้วย ) หมายถึง “ เต็มไปด้วยน้ำ” คือแม่น้ำอันศักดิ์สิทธิ์ 
			  และเก่าแก่อันเป็นที่นับถืออย่างยอดยิ่งของคนอินเดียโบราณ เป็นแม่น้ำทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของดินแดนพรหมาวรรต 
			  คืออาณาจักรรุ่นแรกๆของพวกอารยันที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานลุ่มแม่น้ำสินธุในอินเดีย 
			  แม่น้ำสรัสวตีเป็นแม่น้ำที่มีลักษณะเป็นแม่น้ำ หัวด้วนปลายด้วน 
			  กล่าวคือต้นน้ำอยู่ใต้ดินไหลไปบรรจบกับแม่น้ำคงคาและยมุนา ส่วนปลายน้ำหายลงไปในทะเลทรายธาระ 
			  ตรงที่เรียกว่า “ วินาศนะ” เพราะรังเกียจที่จะไหลต่อไปทางใต้อันเป็นที่อยู่ของพวกป่าเถื่อน 
			  แต่มหาภารตะกล่าวว่า เหตุการณ์นี้ เกิดจากคำสาปของฤษีอุตัถยะ 
			  อย่างไรก็ดี มีร่องทรายเป็นแนวทางต่อไปทางตอนใต้ของแม่น้ำสินธุอันแสดงว่า 
			  แม่น้ำสรัสวตีเคยเป็นสาขาหนึ่งของแม่น้ำสินธุ แต่ภายหลังสายน้ำเปลี่ยนทางเดินและตื้นเขินไปในที่สุด 
			  ถ้าเป็นไปตามหลักฐานนี้ แม่น้ำสรัสวตีโบราณก็คือสาขาหนึ่งของแม่น้ำสินธุทั้ง 
			  ๗ และมีชื่อเฉพาะว่า “ สรรสตุ” ( สรฺสฺตุ )  
			 จากหลักฐานที่กล่าวมาทั้งหมดนี้สรุปได้ว่าต้นกำเนิดเดิมของ  วาจ และ  สรัสวตี ก็คือบุคลาธิษฐาน 
			  (personification) ของธรรมชาติคือ  “ เสียง” กับ “ สายน้ำ” นั้นเอง ซึ่งสมมุติให้มีรูปร่างเป็นเทวีทั้งสององค์ และในที่สุดก็รวมเป็นองค์เดียวกัน 
			  ด้วยเหตุผลอันเหมาะสมอย่างยิ่ง กล่าวคือ เสียงหรือถ้อยคำของมนุษย์ 
			  ย่อมเกิดจากน้ำในร่างกาย เราจึงมีคำว่า  “น้ำเสียง” แสดงว่า  “ เสียง” กับ  “ น้ำ” นั้นย่อมคู่กัน เมื่อมีน้ำ เสียงก็แจ่มใส เมื่อคอแห้งผาก เสียงก็แหบแห้ง 
			  หรือไม่มีเสียงในที่สุด ฉะนั้น  วาจ หรือ  วาคเทวี กับ  สรัสวตี จึงผสมกลมกลืนเป็นเทวีองค์เดียวกันด้วยประการฉะนี้  
			 สรัสวตีเทวี ปรากฏในรูปร่างหญิงงามผิวขาวผุดผ่อง 
			  บางทีเป็นรูป ๒ กร แต่ส่วนใหญ่มี ๔ กร พระหัตถ์ถือดอกไม้ ถือคัมภีร์ใบลาน 
			  ถือสร้อยไข่มุกชื่อศิวมาลา และถือกลองทมรุ หรือมิฉะนั้นก็ถือพิณ 
			  ถ้าเป็นรูปมี ๒ กรจะถือพิณอย่างเดียว ประทับบนพาหนะคือนกยูง 
			  แต่มีบางรูป มีพาหนะเป็นหงส์ ซึ่งเป็นพาหนะเเบบเดียวกับพาหนะของสวามีคือพระพรหม  
			 โดยเหตุที่  สรัสวตี เป็นเทวีแห่งศิลปวิทยาการโดยเฉพาะวิชาการทางอักษรศาสตร์ 
			  จึงกล่าวได้อย่างเต็มที่ว่าเป็น  เทวีอักษรศาสตร์ ในอินเดียถือกันว่าวันแรกของเดือนมาฆะ ( ราวเดือนกุมภาพันธ์ 
			  ) เป็นวันที่ระลึกถึงพระสรัสวตีเรียกว่า  ศรีปัญจมีบูชา ในวันดังกล่าวผู้คนจะหยุดการขีดเขียนทั้งปวง และการให้สมุดหรือเครื่องเขียนแก่กัน 
			  ถือว่าเป็นการให้ของขวัญอันมีค่ายิ่ง คนที่บูชาสรัสวตีเทวีถือว่าเป็นผู้ที่ได้รับพรให้เป็นนักอักษรศาสตร์ที่ฉลาดเฉลียว 
			  ปราดเปรื่อง สมตามบทสวดสำหรับวาคเทวีที่ว่า  
			 “ ฉันโปรดใคร ฉันก็ทำให้ผู้นั้นเป็นพราหมณ์ เป็นผู้บริสุทธิ์ 
			  เป็นนักปราชญ์ แลกวีผู้ฉลาดหลักแหลม”  
			 หมายเหตุ  :  ดูเพิ่มเติมได้จากบทความเรื่อง วาจหรือสรัสวตี : เทวีอักษรศาสตร์ 
			  ในวรรณวิทยา รวมบทความทางวิชาการบางเรื่อง ของ รองศาสตราจารย์ 
			  ดร . ศักดิ์ศรี แย้มนัดดา จัดพิมพ์เป็นที่ระลึกในวาระการเกษียณอายุราชการ 
			  พ . ศ . ๒๕๓๔ 
			 
            สีเทา สีแห่งสติปัญญา เป็นสีประจำคณะอักษรศาสตร์ 
               
             
             ชงโค คือ ต้นไม้ประจำคณะอักษรศาสตร์เป็นไม้ผลัดใบขนาดเล็ก ความสูงประมาณ 
              ๕– ๑๐ เมตร มีถิ่นกำเนิด ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขึ้นในป่าโปร่งผสมนิยมนำปลูกประดับตามอาคารสถานที่ต่างๆ 
              เพราะลำต้นมีลีลาที่งดงาม และดอกที่สวยงามคล้ายดอกกล้วยไม้ กลีบดอกสีชมพู 
              ออกดอกหลังจากที่ใบใหม่ผลิแล้ว คือหลังเดือนเมษายน ใบเป็นใบเดี่ยว 
              รูปหัวใจปลายทู่และเว้าลึกมองดูคล้ายใบแฝดติดกัน ผลัดใบในฤดูหนาวระหว่างเดือนพฤศจิกายน 
              ถึง เดือนธันวาคม แตกใบใหม่ประมาณเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม ต้นชงโคเป็นต้นไม้ที่ปลูกง่ายเจริญเติบโตได้ดีในดินทั่วๆไป 
			 |