ในคัมภีร์ฤคเวทอันเป็นคัมภีร์ที่เก่าแก่ที่สุดในอินเดีย มีข้อความหลายตอนกล่าวถึงเทวีสององค์ คือ วาจฺ หรือ หรือ วาคฺเทวี กับ สรสฺวตีเทวี ซึ่งในสมัยต่อมาคือสมัยมหากาพย์และปุราณะ ได้กลายเป็นเทวีองค์เดียวกัน และมีตำแหน่งเป็นเทพเจ้าแห่งอักษรศาสตร์และวิชาดนตรี เป็นที่นับถือเคารพบูชาของชาวอินเดียตลอดมาจนทุกวันนี้
วาจ คือ "เสียง" หรือ " ถ้อยคำ" เป็นพลังอำนาจทางธรรมชาติอย่างหนึ่งที่ทรงความศักดิ์สิทธิ์และสำคัญยิ่ง สามารถดลบันดาลให้เกิดความรู้ความฉลาดในหมู่มนุษย์ และเป็นราชินีแห่งทวยเทพผู้ทรงความฉลาดลึกล้ำ เพราะเสียงหรือถ้อยคำนั้นเป็นบ่อเกิดแห่งวิชาการทั้งปวง ซึ่งสมัยโบราณต้องท่องจำและถ่ายทอดสั่งสอนสืบกันมา
ส่วนสรัสวตี เป็นศัพท์ที่สร้างขึ้นจาก สรสฺ (น้ำ) + วตี (เต็มไปด้วย) หมายถึง "เต็มไปด้วยน้ำ" คือแม่น้ำอันศักดิ์สิทธิ์และเก่าแก่อันเป็นที่นับถืออย่างยิ่งของคนอินเดียโบราณ
วาจ และ สรัสวตี เป็นเทวีในแบบบุคลาธิษฐาน (personification) ของธรรมชาติ คือ "เสียง" กับ "สายน้ำ" นั้นเอง ซึ่งสมมุติให้มีรูปร่างเป็นเทวีทั้งสององค์ และในที่สุดก็รวมเป็นองค์เดียวกัน ด้วยเหตุผลอันเหมาะสมอย่างยิ่ง กล่าวคือ เสียงหรือถ้อยคำของมนุษย์ย่อมเกิดจากน้ำในร่างกาย เราจึงมีคำว่า "น้ำเสียง" แสดงว่า "เสียง" กับ "น้ำ" นั้นย่อมคู่กัน
โดยเหตุที่สรัสวตีเป็นเทวีแห่งศิลปวิทยาการโดยเฉพาะวิชาการทางอักษรศาสตร์ จึงกล่าวได้อย่างเต็มที่ว่าเป็นเทวีอักษรศาสตร์ ในอินเดียถือกันว่าวันแรกของเดือนมาฆะ (ราวเดือนกุมภาพันธ์) เป็นวันที่ระลึกถึงพระสรัสวตี การให้สมุดหรือเครื่องเขียนแก่กันในวันดังกล่าวถือว่าเป็นการให้ของขวัญอันมีค่ายิ่ง คนที่บูชาสรัสวตีเทวีถือว่าเป็นผู้ที่ได้รับพรให้เป็นนักอักษรศาสตร์ที่ฉลาดเฉลียว ปราดเปรื่อง สมตามบทสวดที่ว่า
"ฉันโปรดใคร ฉันก็ทำให้ผู้นั้นเป็นพราหมณ์ เป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นนักปราชญ์ แลกวีผู้ฉลาดหลักแหลม"
ภาพพระสรัสวตี วาดโดย อาจารย์จักรพันธุ์ โปษยกฤต